วันอังคารที่ 8 มีนาคม พ.ศ. 2559

(ตอนที่6) ทำไม??พระพุทธศาสนาต้องเป็นศาสนาประจำชาติไทย

ประวัติพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
ก่อนที่ท่านจะบรรลุธรรม 
ท่านทรงเกิดในตระกูลกษัตริย์ค่ะ ซึ่งเป็นตระกูลที่เลิศ และเพียบพร้อมอย่างที่สุดซึ่งจะขอนำประวัติฉบับย่อมาเล่าให้ฟังดังนี้ให้เรา
ได้ปลื้มปิติใจว่าก่อนออกบวชท่านตัดสินใจเลือกเส้นทางนี้อย่างมั่นคง และเชื่อมั่นค่ะ  เราทุกคนโชคดีมีบุญมากที่ได้มาพบพระพุทธศาสนา ได้ปฏิบัติตามคำสอนของท่านค่ะ
พระพุทธเจ้า มหาศาสดาโลก
พระมารดามหาสุบินนิมิตร
     ในคืนที่พระบรมโพธิสัตว์ ถือปฏิสนธิในครรภ์ของพระนางสิริมหามายา พระราชาผู้ครองนครกบิลพัสดุ์ ในคืนนั้นพระนางทรงพระสุบินนิมิตรว่า มีพญาช้างเผือกได้นำดอกบัวมาถวาย ณ ที่บรรทม 
พระพุทธเจ้า มหาศาสดาโลก
ประสูติ
 ทันทีที่ประสูติ ทรงดำเนินด้วยพระบาท 7 ก้าว โดยมีดอกบัวผุดขึ้นรองรับ และทรงเปล่งอาสภิวาจาว่า  “เราเป็นผู้เลิศในโลก เราเป็นผู้ที่เจริญที่สุดในโลก เราเป็นผู้ที่ประเสริฐที่สุดในโลก การเกิดครั้งนี้ของเราเป็นครั้งสุดท้ายภพใหม่ต่อไปไม่มีสำหรับเรา”
พระพุทธเจ้า มหาศาสดาโลก
อสิตดาบส ทํานายพระลักษณะ
 เมื่อประสูติได้ 3 วัน อสิตดาบสก็ได้เข้าไปเยี่ยมพระราชกุมาร เมื่อท่านได้เห็นลักษณะมหาบุรุษของพระราชกุมาร ท่านก็ได้รู้ว่าพระราชกุมารจะได้ตรัสรู้ธรรมเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าอย่างแน่นอน ด้วยความเลือมใสจึงได้น้อมไหว้พระบรมโพธิสัตว์ จึงทำให้ทั้งพระราชบิดาพระราชมารดา และทุกคนต่างก็พนมมือไหว้พระบรมโพธิสัตว์ตามพระดาบสด้วย
พระพุทธเจ้า มหาศาสดาโลก
พราหมณ์พยากรณ์
เมื่อประสูติได้ 5 วัน พราหมณ์ทั้ง 7 คน ได้พยากรณ์ว่า ถ้าพระราชกุมารอยู่ทางโลก จะได้เป็นพระเจ้าจักรพรรดิ์แต่ถ้าออกบวชจะได้ตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แต่พราหมณ์ที่ชื่อโกณฑัญญะพยากรณ์ว่า พระองค์จะออกบวช และจะได้ตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเท่านั้น
พระพุทธเจ้า มหาศาสดาโลก
ทรงบรรลุปฐมฌานตั้งแต่ทรงพระเยาว์เมื่อพระองค์เจริญพระชนมายุได้ 7 พรรษา ทรงตามเสด็จพระราชาบิดาไปร่วมพิธีแรกนาขวัญ
จากนั้นทรงหลีกออกเร้น ประทับนั่งสมาธิ(Meditation)อยู่ใต้ต้นหว้า แล้วสามารถหยุดใจจนบรรลุปฐมฌานเป็นอัศจรรย์พระปรีชาสามารถเป็นเลิศในทุกด้าน
พระพุทธเจ้า มหาศาสดาโลก
 เจ้าชายสิทธัตถะ ทรงมีพระปรีชาสามารถเป็นเลิศในทุกด้าน  เมื่อพระองค์พระชนมายุได้ 7 พรรษา ทรงศึกษาสำเร็จศิลปศาสตร์ 18 ศาสตร์

พระพุทธเจ้า มหาศาสดาโลก
เสวยพระราชสมบัติอย่างเกษมสำราญ
 เมื่อพระชนมายุได้ 16 พรรษา พระราชบิดาทรงสร้างปราสาท 3 ฤดู ที่อุดมไปด้วยเครื่องบำรุงบำเรอเพื่อให้พระองค์เสวยพระราชสมบัติอย่างเกษมสำราญ เพราะพระราชบิดาไม่ปรารถนาให้เจ้าชายสิทธัตถะเสด็จออกผนวช
พระพุทธเจ้า มหาศาสดาโลก
อภิเษกสมรส
     เมื่อพระชนมายุได้ 16 พรรษา เจ้าชายสิทธัตถะทรงอภิเษกสมรสกับพระนางยโสธราพิมพา ผู้มีความงามเป็นเลิศกว่าหญิงใด ๆ เพราะได้ลักษณะเบญจกัลยาณีพระพุทธเจ้า มหาศาสดาโลก
 พระพุทธเจ้า มหาศาสดาโลก
พบเทวทูตทั้ง 4
     เมื่อพระองค์พระชนมายุได้ 29 พรรษา ทรงเกิดความรู้สึกเบื่อหน่ายในราชสมบัติยิ่งนัก จึงแอบเสด็จประพาสนอกพระราชวัง ทำให้พระองค์ทอดพระเนตรเห็น คนแก่ คนเจ็บ คนตาย และนักบวชเป็นครั้งแรก ทำให้ทรงสลดพระทัยในความไม่เที่ยงของชีวิตซึ่งเป็นทุกข์ และ ก็เชื่อว่า เมื่อมีทุกข์ก็จะต้องมีหนทางดับทุกข์ ซึ่งก็คือการออกบวช
พระพุทธเจ้า มหาศาสดาโลก
ห่วงเกิดแล้ว ในขณะที่เจ้าชายสิทธัตถะสลดพระทัยจากการเห็นเทวทูตทั้ง 4  พระนางยโสธราพิมพาก็ได้ประสูติพระโอรสขึ้น ทำให้พระองค์รู้สึกรักและห่วงใยในพระราชโอรสขึ้นมาอย่างท่วมท้น จนถึงกับทรงเปล่งอุทานออกมาว่า “ราหุลัง ชาตัง พันธนัง ชาตัง” บ่วงเกิดขึ้นแล้ว พันธนาการได้เกิดขึ้นแล้ว
พระพุทธเจ้า มหาศาสดาโลก
เสด็จออกผนวช
     เมื่อเจ้าชายสิทธัตถะทรงตั้งพระทัยแน่วแน่ที่จะแสวงหาหนทางแห่งการดับทุกข์ให้ได้ พระองค์จึงตัดสินพระทัยเสด็จออกผนวชโดยมีนายฉันนะมหาดเล็กเป็นผู้ติดตาม และมีม้ากัณฐกะเป็นพระราชพาหนะ
พระพุทธเจ้า มหาศาสดาโลก
บรรพชา ริมฝั่งแม่น้ำอโนมา
    เมื่อเสด็จมาถึงริมฝั่งแม่น้ำอโนมา พระองค์ทรงตัดพระโมฬี (ผมที่มุ่นเป็นมวย)  ด้วยพระขรรค์ แล้วทรงเปลื้องพระภูษาออก  และทรงครองผ้ากาสาวพัสตร์ ที่ฆฏิการพรหมนำมาถวายพร้อมด้วยเครื่องบริขาร  จากนั้นทรงตั้งจิตอธิษฐานเพศเป็นนักบวช

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น