วันจันทร์ที่ 29 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2559

ทำไมวัดพระธรรมกายต้องสร้างใหญ่???


                                                                                 
วัดพระธรรมกาย สร้างเพื่อให้เพียงพอ และรองรับต่อการใช้งานของญาติโยมที่มาแสวงหาที่พึ่งทางใจ
พลิกฟื้นจากทุ่งนาฟ้าโล่งแห้งแล้งกันดาร
 ให้เป็นสถานที่นำความชุ่มชื่นสู่ใจของสาธุชน
ปัจจัยก้อนแรกที่ใช้สร้างวัดมาจากคุณยายอาจารย์มหารัตนอุบาสิกาจันทร์  ขนนกยูงรวบรวมด้วยเงิน 3,200บาทเท่าน้ั้นเองค่ะ
คุณยายอาจารย์มหารัตนอุบาสิกาจันทร์  ขนนกยูง และทีมงานบ้านธรรมประสิทธิ์

     ต่อมาจึงขยายมาสร้างศาลาจาตุมหาราชิกาเป็นศาลาฟังธรรมปฏิบัติธรรมที่จุคนได้ 500คนเมื่อ40กว่าปีที่แล้วค่ะ ในสมัยนั้นผู้คนก็โจษขานว่าทำไมสร้างซะใหญ่โต ใครจะมาฟังธรรมปฏิบัติธรรม วัดก็อยู่ไกลจากที่ชุมชน การเดินทางมาวัดก็ลำบาก


ศาลาจาตุมหาราชิกา



      ต่อมาศาลาจาตุมหาราชิกาที่ใช้ฟังธรรมปฏิบัติธรรมที่คนว่าสร้างใหญ่เกินไปก็เริ่มล้นศาลา  ญาติโยมที่มาวัดบางส่วนต้องมานั่งที่สนามหญ้ารอบๆศาลา เป็นอย่างนี้ตลอด
     พระเดชพระคุณหลวงพ่อธัมมชโยท่านเห็นดังนั้นก็เมตตาสงสารญาติโยม จึงดำริสร้างศาลาปฏิบัติธรรมหลังใหม่ โดยคราวนี้กะว่าจะต้องสามารถใช้งานได้เต็มที่แน่นอน  ซึ่งศาลาหลังนี้ญาติโยมที่มาวัดเรียกขานกันว่า "สภาหลังคาจาก" เพราะส่วนหลังคาของศาลาทำด้วยใบจาก ดิฉันก็เป็นคนนึงที่มาทันได้ใช้ศาลาหลังนี้ ชอบมากเลยค่ะเพราะช่วงอากาศร้อน นั่งสมาธิในสภาหลังคาจากแล้วเย๊นเย็น ชอบเป็นการส่วนตัวมากๆเลย ศาลาหลังนี้จุคนได้ถึง10,000คนค่ะ

     ต่อมาก็คนก็มากันจนล้นอีกค่ะ ต้องกางเต็นท์รอบสภาหลังคาจาก  เพื่อให้คนที่มีกุศลศรัทธามาฟังธรรมปฏิบัติธรรมไม่ลำบากตากแดดตากฝน จำได้ว่าเมนูอาหารที่ทางวัดเลี้ยงญาติโยมก็ไม่มีอะไรมากค่ะ ก็เป็นข้าวกับแกงส้มธรรมดาแต่กินแล้วอร๊อยอร่อยค่ะ  สงสัยจริงๆว่าเพราะอะไร มารู้ทีหลังว่าทุกสิ่งทุกอย่างขึ้นอยู่กับใจของเราค่ะ 
     เมื่อใจของเราพบความสงบจากการทำสมาธิ
ใจที่หยุดนิ่งของเราก็จะมีความสุข
  เมื่อใจมีความสุข ไม่ว่าจะกิน เดิน นั่ง นอนในสถานที่ต่างๆ
 ที่แม้ว่าจะไม่สะดวกสบายมากนักก็มีความสุขได้ 
 เป็นกระแสความสุขจากภายในที่เกิดจากการปฏิบัติธรรม

      บุคคลที่พบความสุขภายใน เมื่อมีความสุขแล้วก็อยากแบ่งปันไปสู่คนรอบข้าง  ก็เลยเป็นบรรยากาศของเพื่อนชวนเพื่อนมาสร้างความดี เพื่อแนะนำสิ่งดีๆให้กับคนที่เรารักต่อๆกันไปค่ะ
     เมื่อเป็นแบบนี้เรื่อยๆ ทำให้สภาหลังคาจากซึ่งสามารถรองรับคนได้ถึง 10,000คน ก็เริ่มคับแคบไปถนัดตาในเวลาไม่กี่ปี  
     หลวงพ่อจึงมีดำริสร้างศาลาฟังธรรมปฏิบัติธรรมหลังใหม่ ชื่อว่า สภาธรรมกายสากล  หมายความว่า เป็นสถานที่ปฏิบัติธรรมฟังธรรมของชาวพุทธทุกเชื้อชาติ ศาสนา และเผ่าพันธุ์ทั่วโลกค่ะ ศาลาหลังนี้จุคนได้หลายแสนคนเลยทีเดียว

       ต่อมาไม่กี่ปีคนเริ่มล้นอีกแล้วค่ะ  แปลกมั๊ยคะ ทั้งๆที่หลวงพ่อท่านไม่ได้มีมหรสพ หรืองานบุญรื่นเริงใดๆแบบทางโลก มีเพียงกิจกรรมสวดมนต์ นั่งสมาธิ ฟังธรรม ถวายสังฆทานเพียงเท่านี้มาตลอดหลายสิบปีที่ผ่านมา 
      เมื่อสถาธรรมกายสากลคนเริ่มล้นสภา หลวงพ่อจึงมีดำริสร้างวิหารคดเพื่อรองรับทั้งพระภิกษุสามเณร และผู้มีบุญจากทั่วโลก โดยวิหารคดทั้ง2ชั้นสามารถรองรับผู้มีบุญที่เดินทาง
มาสร้างบุญได้ถึง1ล้านคน


     ที่ผ่านมาวัดพระธรรมกายถูกกล่าวหาว่าสร้างวัดใหญ่เกินไป
วัดใหญ่ไม่ใหญ่วัดกันที่ตรงไหนคะ บางที่สร้างแล้วถึงไม่ใหญ่โตแต่คนที่ไปใช้แทบไม่มีบางที่สร้างใหญ่โต แต่ไม่ได้เป็นแหล่งปลูกฝังพัฒนาศีลธรรม

       ทีแหล่งอบายมุข บางแห่งสร้างใหญ่ๆโตๆหรูหราทำไมไม่ไปสงสัยกันบ้างคะ ว่าสร้างไปเพื่ออะไร?? เพื่อใคร? เกิดประโยชน์อันใด? ในเมื่ออบายมุขพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสว่าเป็นทางมาแห่งความเสื่อมต่อตนเอง และสังคม คนที่ติดอบายมุข แล้วมาก่อเหตุความเดือดร้อนให้คนในสังคมมากมาย เป็นปัญหาสังคมทั้งเรื่องฆ่า ชิงทรัพย์ ปัญหาครอบครัวบ้านแตกสาแหรกขาดเพราะเกิดจากหัวหน้าครอบครัว หรือคนในครอบครัวติดอบายมุข เหล่านี้น่าจะเป็นปัญหาที่ต้องรีบแก้ไขเพ่งเล็งมากกว่ามั๊ยคะ
     วัดพระธรรมกายสร้างไปใช้ไปอย่างคุ้มค่ากับเงินที่เกิดจากศรัทธาสาธุชนที่ได้ทุ่มเทจัดสร้างศาลาฟังธรรมปฏิบัติธรรมขนาดใหญ่ เจดีย์ วิหาร ฯลฯ
สาธุชนได้เรียนรู้ธรรมะจากพระอาจารย์ 
ฝึกฝนอบรมแก้ไขนิสัยที่ไม่ดีต่างๆไปพร้อมๆกัน
โดยช่วยเป็นกัลยาณมิตรให้กัน เป็นสังคมในอุดมคติ
 ช่วนสร้างเสริมคุณธรรมจริยธรรมในสังคม
อย่างนี้ควรจะส่งเสริมให้เกิดวัดใหญ่ๆ
ที่สร้างศีลธรรมให้คนในประเทศไปทั่วประเทศดีมั๊ยคะ
  ดีกว่าจะมาโฟกัสที่ขนาดว่าสร้างใหญ่สร้างเล็กค่ะ


     ขอธรรมะขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าคุ้มครองแผ่นดินไทย ขอให้ศาสนาพุทธเป็นศาสนาประจำชาติไทย และเป็นศาสนาประจำโลกโดยเร็วพลันค่ะ

(ตอนที่2) ทำไม??พระพุทธศาสนาต้องเป็นศาสนาประจำชาติไทย

 ทำไมบรรพบุรุษไทยต้องเลือกพระพุทธศาสนา
ในเมื่อทุกศาสนาสอนให้คนเป็นคนดีเหมือนกันหมด  นั่นสิคะฉันก็สงสัยอยู่เหมือนกัน และสงสัยมานานแล้วค่ะ ว่าทำไม ทำไม และทำไม??แต่เมื่อฉันได้ให้โอกาสตนเองได้มาปฏิบัติตามคำสอนของของพระพุทธศาสนาเกือบ20ปี ฉันก็สามารถตอบตนเองได้ว่าทำไม

ฉันคงจะบอกคุณไม่ได้หรอกค่ะว่าสิ่งที่ฉันได้เจอนั้นมันล้ำค่าเพียงใดไม่มีใครบอกใครได้ 
นอกจากมาพิสูจน์ด้วยตัวของคุณเอง
 ดังคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่ท่านประกาศธรรมไว้ว่า
"เอหิปัสสิโก"  เชิญมาพิสูจน์ด้วยตัวของคุณเองเถิด  
พระองค์ทรงท้าให้พิสูจน์ค่ะ  พระองค์มิได้ทรงบังคับว่าต้องเชื่อนะที่สอนไว้ ถ้าไม่เชื่อจะถูกลงโทษด้วยประการทั้งปวง


ก่อนอื่นเรามาทำความรู้จักกับพระสัมมาสัมพุทธเจ้าของเรากันก่อนค่ะ บางคนได้อ่านแบบนี้อาจบอกว่าตลกแระเธอ ทำไมชั๊นจะไม่รู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้ากันล่ะ ในเมื่อชั๊นก็นับถือศาสนาพุทธเข้าวัดทำบุญตามวาระโอกาสที่สำคัญตลอด ปีนึงก็หลายครั้งอยู่นะ วันเกิดก็ไปทำบุญปล่อยปลานะ กราบพระพุทธรูป3ครั้งก่อนนอนทุกคืน
แต่แค่นั้นยังไม่พอค่ะคุณ คุณเคยได้อ่านธรรมะที่แสนมหัศจรรย์เรื่องหนึ่งมั๊ยคะ ถ้ายังไม่เคยฉันจะเล่าให้ฟังค่ะ

 ในอดีตกาลมีหญิงนางหนึ่งเกิดความศรัทธาเลื่อมใสในพระสัมมาสัมพุทธเจ้านางมีฐานะยากจน แต่ปรารถนาอยากบูชาพระเจดีย์  นางไม่มีเงินมากพอที่จะซื้อดอกไม้สวยๆแพงๆประณีต ด้วยความจนน่ะคุณเล่ามาถึงตรงนี้นึกถึงคำถามประหลาดที่เคยมีคนถามว่าทำไมต้องรวย???? ฉันขอตอบคำถามไว้ ณ ที่ตรงนี้เลยนะคะ ก็ลองไปจนดูค่ะ จนแบบพราหมณ์ในครั้งพุทธกาลเลยนะคุณ จนชนิดที่ว่าผ้านุ่งผ้าห่มไม่มีจะใช้ ต้องผลัดกับภรรยาเพื่อนุ่งผ้าออกจากบ้าน คือทั้งสองไม่สามารถไปไหนมาไหนคู่กันได้ต่อหน้าผองชนค่ะ เพราะว่าถ้าอีกคนได้ใส่เสื้อผ้า อีกคนจะต้องนุ่งลมห่มฟ้าค่ะคุณ  เป็นไงคะพอจะเก็ทมั๊ยคะว่าทำไมต้องรวย บางคนอาจจะบอกอีกว่าทำไมต้องไปโฟกัสที่ความรวยจน ทำไมไม่โฟกัสที่จิตใจเรื่องของความสุข ก็โอเคค่ะเน้นความสุขในด้านจิตใจ แต่มันจะดีมั๊ยคะคุณถ้ามีความสุขใจด้วย และมีความสุขกายด้วยน่ะค่ะอย่างน้อยพลั้งพลาดเจอเรื่องทุกข์ใจ จนต้องนอนร้องไห้ในคฤหาสถ์ติดแอร์ กับน้องร้องไห้ในกระท่อมที่หลังคารั่ว หนำซ้ำยังไม่พอฝนตกกระหน่ำสาดซัดให้เปียกปอนนอนหนาวในระหว่างกำลังโศกเศร้าเกิดโรครุมเร้าหนาวจนเป็นปอดบวมตายคุณจะเลือกแบบไหนก็แล้วแต่ใจคุณเองนะคะ  เอาที่ชอบที่ชอบเลยค่ะ สุดแต่ใจจะไขว่คว้าเอา

     กลับมาที่เรื่องราวของหญิงในครั้งพุทธกาลคนนี้กันค่ะ ด้วยความยากจนแต่เพียงทรัพย์แต่ไม่จนศรัทธา เธอมีศรัทธาที่เต็มเปี่ยมค่ะ เธอปรารถนาอยากจะบูชาพระเจดีย์ จึงได้ไปเก็บดอกบวบซึ่งคาดว่าคงจะขึ้นอยู่แถวบ้านน่ะแหละค่ะ เธอเก็บดอกบวบด้วยหมายมั่นว่าจะนำไปบูชาพระเจดีย์ แต่ระหว่างทางเจ้ากรรมค่ะยังเดินไปไม่ถึงพระเจดีย์ ก็ได้มีโคขวิดเธอตายซะก่อนที่จะได้เดินทางไปบูชาพระเจดีย์  ด้วยจิตเลื่อมใสนี้เองที่เธอมีต่อพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เมื่อละจากโลกไปแล้วเธอจึงได้ไปเกิดเป็นเทพธิดาบนสรวงสรรค์ มีทิพยสมบัติโอฬารตระการตาสุดที่จะพรรณนาได้ค่ะ เกียรติคุณของเธอเป็นที่รู้จักในนาม เทพธิดาดอกบวบค่ะ

บางคนอาจบอกว่าสบายละ เพราะชีวิตเรามีต้นทุนการทำบุญเยอะกว่าเทพธิดาดอกบวบคนนี้เยอะเลย ก็อย่าเพิ่งชะล่าใจไปค่ะ เพราะสิ่งที่เทพธิดาคนนี้มีคุณเองอาจไม่มีก็ได้ หรือมีแล้วแต่ยังไม่ถึงขีดอย่างเธอ สิ่งนั้นคือศรัทธาที่เปี่ยมล้นในจิตใจค่ะ  ศรัทธาที่เปี่ยมล้นในจิตใจที่มีต่อพระสัมมาสัมพุทธเจ้านั้นเกิดขึ้นจากไหน และเกิดขึ้นได้อย่างไร มีลักษณะเป็นอย่างไรคุณเองแหละค่ะที่จะรู้ได้ด้วยตัวเอง  ศรัทธาที่จะเกิดขึ้นในใจได้อย่างเปี่ยมล้นที่มีต่อพระสัมมาสัมพุทธเจ้านี้ ก่อนที่จะมีเกิดขึ้นได้คุณต้องรู้คุณอันไม่มีประมาณของท่านค่ะ


อดใจรอกันในตอน3ค่ะ ถึงเรื่องของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าและพระคุณของท่าน ทำไมท่านถึงมีคุณมากขนาดนั้น แค่เพียงศรัทธาเลื่อมใสก็ส่งผลพลิกชีวิตจากหญิงยากจนได้
ไปบังเกิดเป็นเทพธิดาสุดโสภาได้
      อย่ารีบร้อนค่ะใจเย็นๆ ฉันเข้าใจว่ายุคดิจิตอลชอบอะไรแบบสั้นๆ กระชับได้ใจความ เพื่อประหยัดเวลา นี่เป็นชีวิตวัฒนธรรมของคนในยุคนี้  อย่างอ่านข่าวบางทีก็อ่านแต่พาดหัว 
    คุณรู้มั๊ยคะว่าข่าวด้านศาสนาที่เกิดจากสื่อสีดำพาดหัวด่าว่าแบบชี้นำสังคม แต่เนื้อหาในข่าวที่ยาวเหยียดหาข้อจับผิดต่อวัด หรือพระตามที่พาดหัวข่าวยังไม่ได้เลยค่ะ หัวข้อข่าวกับเนื้อข่าวคนละเรื่องกันเลย  
    เรียกว่าเปิดประเดิมด้วยการป้ายสีใส่ร้ายไปก่อนตามแบบละครน้ำเน่าทั่วไป ถ้าใครรู้ไม่เท่าทันไปหลงเชื่อ ก็จะถูกชักนำไปอบายกันเป็นทิวแถวค่ะคุณ  อย่าดูเบานะคะชีวิตน่ะไม่ใช่เรื่องง่ายๆ ที่จะรีบตัดสินอะไร อย่าหูเบาหลายค่ะ

วันเสาร์ที่ 27 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2559

(ตอนที่1) ทำไม??พระพุทธศาสนาต้องเป็นศาสนาประจำชาติไทย



 แผ่นดินไทยแผ่นดินธรรมผืนนี้  บรรพบุรุษของเราท่านรัก และหวงแหน แลกมาด้วยเลือดเนื้อและวิญญาณของบรรพชนที่ตายเกลื่อนทับทมแผ่นดินไทยโดยใช้เลือดเนื้อ ชีวิต และจิตวิญญาณ เพื่อให้ลูกหลานไม่ต้องตกเป็นทาสใคร  

มาถึงสมัยเราลูกหลาน แผ่นดินไทยร่มเย็นด้วยธรรมที่สืบเนื่องมาจากบรรพชนเป็นผู้ประพฤติธรรมมาช้านาน ความร่มเย็นเป็นสุขในปัจจุบันที่เราได้รับจึงเป็นดังมรดกที่ตกทอดจากบรรพบุรุษ  แต่พอประเทศไทยของเราเข้าสู่ยุคโลกาภิวัฒน์ คือ พัฒนาและเจริญในด้านวัตถุเป็นตัวนำ  ความมั่นคงแห่งพระพุทธศาสนาที่บรรรพบุรุษฟูมฟักไว้ในสังคมไทยก็เริ่มเสื่อมถอยลดลงไป  ผู้คนหันมาให้ความสนใจกับสิ่งภายนอก คือ วัตถุที่ทันสมัย หรูหรา ไฮเทค จนลืมด้านจิตใจ 

ความเจริญก้าวหน้าในสังคมด้านวัตถุไม่ใช่สิ่งที่ผิด หรือเลวร้าย แต่ต้องมีความสมดุลกับด้านจิตใจและไม่ลืมรากเหง้าของตัวเอง

ดังตัวอย่างของประเทศญี่ปุ่น แม้จะมีความเจริญก้าวหน้าทางวัตถุภายนอก และล้ำสมัยในด้านเทคโนโลยีเพียงใด แต่สิ่งหนึ่งที่ประชาชนในประเทศนี้ไม่เคยลืมเลยก็คือความเรียบง่าย และมรดกทางวัฒนธรรมอันดีงามในสังคมตนเอง ถ้าคุณไปประเทศญี่ปุ่น คุณจะรู้สึกถึงมนต์เสน่ห์ร่วมสมัย เพราะความเป็นตะวันตกที่ล้ำสมัย และความเป็นตะวันออกที่ละเมียดละไม ผสมอย่างกลมกลืนได้อย่างลงตัวในประเทศนี้

กลับมาที่ประเทศไทยของเรา เราเคยมีเวลาถามกันมั๊ยว่า ทำไม??? บรรพบุรุษท่านสละเลือดเนื้อ เสียแขน ขา หัว กองเกลื่อนแผ่นดินไทย เพื่อจะฝาก3สิ่งให้ลูกหลานได้รักษาไว้นั่นคือ 
สถาบันชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์  


ทำไม ทำไม และทำไม เพชร ทอง และทรัพทย์สมบัติอันมีมูลค่ามหาศาลใดท่านไม่ได้กล่าวฝากไว้ ฝากไว้แต่เพียงสิ่งนี้ ที่พระเจ้าตากสินซึ่งอยู่ในสถาบันกษัตริย์ได้กอบกู้ประเทศชาติอย่างทุกข์ยากเพื่อถวายแผ่นดินไทยนี้ให้เป็นพุทธบูชา 

 เข้าใจคำว่า พุทธบูชามั๊ยคะ ?? 
พุทธบูชา หมายความให้เข้าใจง่ายๆ ก็คือ การบูชาแด่องค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า  ซึ่งคำนี้มีเฉพาะ!!ในพุทธศาสนาเท่านั้นค่ะ

ซึ่งมีทั้งการถวายสิ่งของ เช่น บูชารูปตัวแทนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าด้วยดอกบัว หรือถวายปัจจัยเพื่อสร้างวัดสร้างเจดีย์ นี้เป็นอามิสบูชา  ส่วนการปฏิบัติธรรม นั่งสมาธิ เจริญภาวนา และการปฏิบัติตามคำสอนของพระพุทธองค์ด้วยการทำความดี ละเว้นความชั่วหยาบทั้งปวง นี้เป็นปฏิบัติบูชาค่ะ

พระเจ้าตากสินท่านถวายแผ่นดินไทยเพื่อไว้เป็นพุทธบูชา หมายความว่า ทุกตารางนิ้วบนผืนแผ่นดินไทย คือแผ่นดินธรรมที่พระพุทธศาสนาจะเจริญรุ่งเรือง  ส่วนว่าลูกหลานคนใดมีความ
สงสัยในวิชั่นของบรรพบุรุษ  ที่ท่านมอบมรดกนี้สืบต่อกันมาหลายร้อยชั่วอายุคน ก็ไปถามบรรพบุรุษเองเลยนะคะ  แต่ถ้าคุณยังไม่สามารถมทะเลเพื่อสร้างผืนแผ่นดินใหม่ด้วยตัวคุณเองได้  ความกตัญญูต่อบรรพชนเป็นหนทางเดียวที่คุณพึงกระทำและแสดงออกคือรักษาพระศาสนาไว้ให้ยิ่งกว่าชีวิตของคุณค่ะ เพราะอะไรน่ะเหรอคะ  ถ้าคุณเป็นคนที่มีศีลธรรมในจิตใจคุณก็จะสอนตัวเองได้ว่า....

ความกตัญญูเป็นเครื่องหมายของคนดี  
คนดีต้องมีความกตัญญู 

ถ้าคุณบอกว่าตัวคุณเองเป็นคนดี 
แล้วคุณไม่มีเครื่องหมายของความกตัญญู 
คุณยังจะกล้าบอกอีกหรือคะว่าคุณเป็นคนดี





สร้างวัดใหญ่ ไม่ได้แข่งกับใคร

ร้อยผลงาน แทนคำพูดนับล้านคำ


การสร้างวัดใหญ่
ไม่ได้แปลว่า...เราจะไปแข่งกับใคร

บางคนถามหลวงพ่อว่า ที่สร้างใหญ่ใหญ่นี่จะไปแข่งเมกกะหรือ

 ขอยืนยันด้วยความบริสุทธิ์ใจว่า**ไม่ได้แข่ง** 
แต่เพราะการสร้างสันติสุขให้เกิดขึ้นแก่โลกนั้นทำตามลำพังไม่ได้ ทุกคนในโลกต้องมีส่วนในการสร้างสันติสุข ต้องช่วยกันทำ

 สันติสุขที่แท้จริงจึงจะบังเกิดขึ้นแก่โลก พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสว่า

"นัตถิ สันติ ปะรัง สุขัง" 
สุขอื่นนอกจากใจหยุดนิ่งไม่มี

 คำว่าสันติ..จึงเป็นสิ่งที่ใครๆปรารถนากันทั้งนั้น
และทำตามลำพังไม่ได้ทั่วโลกต้องช่วยกันทำ

เพราะฉะนั้นถ้าสร้างเล็กๆมันก็ไม่พอที่จะรองรับ
และต้องจำไว้ว่า...สิ่งดีๆ
เริ่มต้นที่นำใจมาหยุดนิ่งที่ศูนย์กลางกายฐานที่ 7 ตรงนี้เท่านั้น

 ถ้าทุกคนทั่วโลกทำตรงนี้ได้แล้ว
เดี๋ยวสันติสุขจะบังเกิดขึ้นทันตาเห็น ก่อนที่เราจะหลับตาลาจากโลกนี้ไป

โอวาทพระเทพญาณมหามุนี 
(หลวงพ่อธัมมชโย)

5 กันยายน 2547


วันเสาร์ที่ 20 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2559

สมเด็จอาจ...อุทาหรณ์ของวงการพระพุทธศาสนา


โศกนาฎกรรมที่สั่นคลอน
จิตวิญญาณของชาวพุทธฯ

       เมื่อพระดีถูกรังแกข่มเหงจากกลุ่มผู้แสวงหาอำนาจ
จึงนำไปสู่การตัดสินที่ผิดพลาดครั้งยิ่งใหญ่

       -ใน พ.ศ. 2503 เมื่อครั้งสมเด็จพระพุฒาจารย์ (อาจ อาสโภ) ดำรงสมณศักดิ์เป็นพระพิมลธรรมนั้น (ผู้ปฏิบัติหน้าที่แทนสมเด็จพระสังราชและเจ้าอาวาสวัดมหาธาตุฯ)ท่านได้ถูกกล่าวหาว่าอาบัติปาราชิกข้อหาเสพเมถุนกับลูกศิษย์  สมเด็จพระสังฆราช (ปลด กิตฺติโสภโณ) จึงมีพระบัญชาให้พ้นจากตำแหน่งเจ้าอาวาส แต่ท่านปฏิเสธ โดยตั้งใจจะต่อสู้เพื่อพิสูจน์ความบริสุทธิ์ของตน คณะสังฆมนตรีของสมเด็จพระมหาวีรวงศ์ (จวน อุฏฺฐายี) จึงมีมติว่าท่านฝ่าฝืนพระบัญชา ไม่ควรอยู่ในสมณศักดิ์ต่อไป พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวจึงโปรดให้ถอดออกจากสมณศักดิ์ตั้งแต่วันที่ 11 พฤศจิกายน พ.ศ. 2503 ภายหลังเรื่องถึงชั้นศาลและสามารถพิสูจน์ได้ว่า ข้อกล่าวหาทั้งหมดไม่มีมูลความจริง 

      -ต่อมาใน พ.ศ. 2505 ท่านได้ถูกทางการกล่าวหาว่าเป็นคอมมิวนิสต์ จึงถูกบังคับสึกเป็นฆราวาสแม้ท่านจะร้องขอความเป็นธรรมและขอโอกาสต่อสู้คดีก็ไม่เป็นผล และถูกจำคุกอยู่ที่กองบังคับการตำรวจสันติบาลอยู่ 5 ปี  (ตลอดระยะเวลาที่อยู่ในคุกแม้จะถูกถอดจีวรแล้วสวมชุดฆราวาส ท่านก็ยังคงดำเนินวัติปฏิบัตแบบพระโดยสมณสัญญาตามปกติ )จนกระทั่งศาลทหารสามารถพิสูจน์ว่าข้อกล่าวหาดังกล่าวเป็นความเท็จ และตัดสินยกฟ้องเมื่อ พ.ศ. 2509 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวจึงโปรดให้ท่าน กลับสู่สมณศักดิ์เดิมตั้งแต่วันที่ 31 พฤษภาคม พ.ศ. 2518 คดีดังกล่าวนี้นับเป็นเหตุการณ์สำคัญครั้งหนึ่งในประวัติศาสตร์พุทธศาสนาของไทย ซึ่งสร้างความสะเทือนใจให้แก่ศิษยานุศิษย์และพุทธศาสนิกชนในประเทศไทยเป็นอย่างยิ่ง เราคงไม่อยากให้เหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้นอีกในประเทศไทย ซึ่งได้ขึ้นชื่อว่าเป็นเมืองพุทธ
http://www.mcukk.com/buddhasilpa/read.php?select=16
http://www.komchadluek.net/detail/20091211/40887/%E0




     หลังจากเหตุการณ์นี้ผ่านพ้นไป  ท่านเพียงแต่กล่าวสั้นๆว่า
" ถึงแม้ว่าจะมีผู้มีใจโหดร้ายทารุณแย่งชิงผ้ากาสาวพัตร์ของกระผมไป กระผมก็จะนุ่งห่มผ้ากาสาวพัตร์ชุดอื่นแทน ซึ่งกระผมมีสิทธิ์ตามพระธรรมวินัย และกฎหมาย  จึงขอให้ท่านเจ้าคุณผู้รู้เห็นอยู่ ณ ที่นี้ ได้โปรดทราบและเป็นสักขีพยานให้แก่กระผมตามคำปฏิญาณนี้ด้วย"

      คดีดังกล่าวนี้นับเป็นเหตุการณ์สำคัญครั้งหนึ่งในประวัติศาสตร์พุทธศาสนาของไทย ซึ่งสร้างความสะเทือนใจให้แก่ศิษยานุศิษย์และพุทธศาสนิกชนในประเทศไทยเป็นอย่างยิ่ง ราคงไม่อยากให้เหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้นอีกในประเทศไทย ซึ่งได้ขึ้นชื่อว่าเป็นเมืองพุทธ



      อุทาหรณ์สอนใจเกับเรื่องราวในครั้งอดีตกาลได้กล่าวถึงผู้ทำกรรมหยาบช้าที่ประทุษร้ายต่อผู้ทรงศีลให้เป็นแง่คิดสะกิดใจแก่ทุกท่านว่า กรรมชั่วที่เรากระทำแม้ว่าเราจะรู้หรือไม่รู้ก็ตาม ก็ย่อมจะได้รับผลของกรรมที่ตนเองได้กระทำไว้ เหมือดั่งเด็กน้อยไร้เดียงสาที่ไม่รู้ว่าไฟมีความร้อน เมื่อเอามือไปจับย่อมเผาไหม้ตนเองแบบไม่มีข้อยกเว้น ว่าจะรู้หรือไม่ก็ตาม


เรื่อง ผู้ถ่มน้ำลายรดพระดาบส 
       กาลครั้งหนึ่ง กีสวัจฉดาบส ลูกศิษย์ของสรภังคดาบส เข้าไปอาศัยอยู่ในพระราชอุทยานกุมภวดี
นครของพระเจ้าทัณฑกีราช เพื่อบำเพ็ญฌานสมาบัติ พอดีกับเหตุการณ์วุ่นวายในเมือง
        นางสนมท่านหนึ่งถูกพระราชาปลดออกจากตำแหน่ง พอดีนางพบดาบสเข้า คิดว่าเป็นกาลกินี
ถ่มน้ำลายลงบนศีรษะของดาบสนั้นแล้ว  ออกไป. ในวันนั้น(เพราะบุญเก่า)นางได้รับตำแหน่งคืน จึงสำคัญว่าตนได้ตำแหน่งคืนเพราะด้วยการถ่มน้ำลายใส่ท่านดาบส

       ต่อมาปุโรหิตถูกพระราชาริบฐานันดร ปุโรหิตจึงได้รับคำแนะนำจากนางสนมให้ทำเช่นนางบ้าง
 ก็เผอิญปุโรหิตนั้นก็ได้ฐานันดรคืน(บุญเก่า) อีก2-3วัน แถวชายแดนของเมืองเกิดจราจล พระราชามีพระราชประสงค์จะปราบชาวเมืองที่ก่อจราจลปุโรหิตก็แนะนำให้ทำเช่นตน พระราชาจึงบังคับให้ประชาชนทั้งหมด ให้ไปถ่มน้ำลายใส่พระดาบส พอพระราชาเสด็จถึงชายแดนเท่านั้นก็รบชนะ
       ฝ่ายเสนาบดี หลังจากคนถ่มน้ำลายใส่พระดาบส จึงไปช่วยล้างให้ท่าน แล้วถามว่า"ท่านขอรับ  กรรมที่ไม่สมควร  อันชนเหล่านั้นทำแล้ว ผลอะไรจักมีแก่ชนเหล่านั้น."
       ดาบสกล่าวว่า  "ความประทุษร้ายแห่งใจของอาตมา    ไม่มีแต่เทวดา  โกรธนักหนา,  ในวันที่ ๗  แต่วันนี้ไป  เทวดาทั้งหลายจักทำแว่นแคว้นทั้งสิ้น  ให้พินาศ;  เพราะฉะนั้น  ท่านจงไปภายนอกแว่นแคว้นเสียภายใน  ๗  วันเถิด." ในวันนั้นเองเทวดาบันดาลให้ฝนตก ชาวเมืองดีใจว่าเพราะเราทำร้ายดาบส พระราชาเรารบชนะมีแต่เจริญอย่างเดียว

       วันต่อมา เทวดาบันดาลให้ฝนดอกมะลิตก ฝนมาสก ฝนกหาปนะ ฝนเครื่องประดับ ตกตามลำดับ ประชาชนยิ่งดีใจกันใหญ่วันสุดท้าย เทวดาบันดาลให้ ฝนอาวุธ ฝนถ่านเพลิง ฝนทรายถล่มเมืองพังพินาศ เสนาบดีออกนอกเมืองได้สำเร็จ และปลอดภัย คนเลี้ยงพ่อแม่ เทวดานำออกนอกเมือง ปลอดภัยเหมือนกัน ส่วนคนนอกนั้นถึงความพินาศ ด้วยประการฉะนี้แล

จากหนังสือ ชาวพุทธต้องรู้  
มังคลัตถทีปนีแปล เล่ม ๒ - หน้าที่ 245-247
http://www.thammasatu.net/balee/mkthai.php?Page=244&p


เปรตขนเป็นหอกเป็นดาบ
                              เป็นเปรตที่มีลิ้นยาว ปลายลิ้นเป็นใบมีดคมกริบสับตัวเองไปทั่ว
                              ตามรูขุมขนมีมีดโผล่ขึ้นๆลงๆทิ่มแทงทะลุตามตัวตลอดเวลา
                              ทุกข์ทรมานแสนสาหัส เหตุที่เป็นเช่นนี้เพราะาตอนเป็นมนุษย์
                              ชอบใช้วาจาด่าว่าผู้มีศีลมีธรรม





วันศุกร์ที่ 19 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2559

ทำความเข้าใจพ.ร.บ.สงฆ์ฉบับภาษาชาวบ้าน


 ชาวพุทธฯต้องรู้ทัน...กฎหมายพุทธศาสนา 
   
       การสถาปนาสมเด็จพระสังฆราชองค์ที่ 20 ทำไมถึงยังยืดเยื้อ???

       สร้างความสงสัยให้กับพุทธศาสนิกชนชาวไทยทั่วทั้งประเทศกันเลยทีเดียว กับขั้นตอนการขอแต่งตั้งสมเด็จพระสังฆราชแห่งการ คณะสงฆ์ไทย  ทุกอย่างดำเนินมาตามขั้นตอนประเพณีเดิมทุกประการ  จนมาถึงในส่วนของทางฝ่ายบ้านเมืองต้องดำเนินการในขั้นต่อไป  เรื่องก็มาถึงตรงนี้  ติดแหง็กค้างคา ปล่อยให้ประชาชนพลเมืองทั่วแผ่นดินไทยพากันสงสัยเป็นทิวแถวว่า  มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่หว่า??

ทำไมถึงดูล่าช้าเพิกเฉยต่อเรื่องที่สำคัญ และละเอียดอ่อนที่สุดของสังคมไทย

     ถ้าเรามองไปที่ฝ่ายบ้านเมือง จะเห็นว่าเมื่อตำแหน่งนายยกรัฐมนตรีผู้นำประเทศว่างลง  จะต้องรีบดำเนินการเลือกตั้งอย่างเร่งด่วน  แต่เกิดอะไรขึ้นกับการแต่งตั้งสมเด็จพระสังฆราช ซึ่งเป็น ผู้นำทางศาสนา และจิตวิญญาณมาแต่ครั้งบรรพบุรุษ กลับถูกกระแสก่อกวนจากคนกลุ่มน้อยที่มีเจตนาไม่บริสุทธิ์แค่เพียงไม่กี่คน แต่มีอำนาจมาคัดค้านขั้นตอนที่ถูกต้องด้วยกฎหมาย  และมติของมหาเถรสมาคมเลยหรือ

    ในฐานะชาวพุทธฯ เรามาเรียนรู้วิชากฎหมายที่เกี่ยวข้องกับพุทธศาสนาฉบับชาวบ้านเพื่อรู้ทัน   และเป็นแนวทางทำความเข้าใจ ให้กับกลุ่มคนในสังคมบางกลุ่มที่กำลังโจมตีว่าร้ายแบบขาดสติกันว่าประเทศนี้ บ้านนี้ เมืองนี้ กฎหมายจะมีไว้เพื่ออะไร ถ้าไม่ได้ถูกใช้ แต่กลับใช้กฎหมู่แทน




    แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ ( ฉบับที่ ๒ ) พ.ศ. ๒๕๓๕ภูมิพลอดุลยเดช ป.ร.ให้ไว้ ณ วันที่ ๒๕ ธันวาคม ๒๕๐๕ เป็นปีที่ ๑๗ ในรัชกาลปัจจุบันและให้ไว้ ณ วันที่ ๒๕ กุมภาพันธ์ ๒๕๓๕ เป็นปีที่ ๔๗ ในรัชกาลปัจจุบัน
          พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้า ฯ ให้ประกาศว่าโดยที่ เป็นการสมควรปรับปรุงกฎหมายว่าด้วยคณะสงฆ์ให้เหมาะสมยิ่งขึ้นจึงทรงพระกรุณา โปรดเกล้าฯ ให้ตรา พระราชบัญญัติไว้โดยคำแนะนำและยินยอมของสภาร่างรัฐธรรมนูญในฐานะรัฐสภา ดังต่อไปนี้
          มาตรา ๑ พระราชบัญญัตินี้เรียกว่า “พระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พ.ศ. ๒๕๐๕“
          มาตรา ๒ พระราชบัญญัตินี้ ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป
          มาตรา ๔ ภายในระยะเวลาหนึ่งปี นับแต่วันที่พระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับ บรรดากฎกระทรวง สังฆาณัติ กติกาสงฆ์ กฎองค์การพระบัญชาสมเด็จพระสังฆราช ข้อบังคับและระเบียบเกี่ยวกับคณะสงฆ์ ที่ใช้บังคับ อยู่ในวันประกาศพระราชบัญญัตินี้ในราชกิจจานุเบกษา ให้คงใช้บังคับต่อไปเท่าที่ไม่ขัดหรือแย้งกับพระ ราชบัญญัตินี้ ทั้งนี้จนกว่าจะมีกฎกระทรวง กฎมหาเถรสมาคมพระบัญชาสมเด็จพระสังฆราช ข้อบังคับหรือ ระเบียบของมหาเถรสมาคม ยกเลิก หรือมีความอย่างเดียวกันหรือขัดหรือแย้งกันหรือกล่าวไว้เป็นอย่างอื่น
หมวด ๑ สมเด็จพระสังฆราช
           มาตรา ๗ พระมหากษัตริย์ทรงสถาปนาสมเด็จพระสังฆราชองค์หนึ่ง
           ในกรณีที่ตำแหน่งสมเด็จพระสังฆราชว่างลง ให้นายกรัฐมนตรีโดยความเห็นชอบของมหาเถรสมาคมเสนอ นามสมเด็จพระราชาคณะผู้มีอาวุโสสูงสุดโดยสมณศักดิ์ ขึ้นทูลเกล้าฯ เพื่อทรงสถาปนาเป็นสมเด็จพระสังฆราช
           ในกรณีที่สมเด็จพระราชาคณะผู้มีอาวุโสสูงสุดโดยสมณศักดิ์ไม่อาจปฏิบัติ หน้าที่ได้ให้นายกรัฐมนตรีโดย ความเห็นชอบของมหาเถรสมาคมเสนอนามสมเด็จพระราชาคณะรูปอื่นผู้มีอาวุโสโดย สมณศักดิ์รองลงมา ตามลำดับ และสามารถปฏิบัติหน้าที่ได้ ขึ้นทูลเกล้าฯ เพื่อทรงสถาปนาเป็นสมเด็จพระสังฆราช
            มาตรา ๘ สมเด็จพระสังฆราชทรงดำรงตำแหน่งสกลมหาสังฆปริณายก ทรงบัญชาการคณะสงฆ์และทรงตรา พระบัญชาสมเด็จพระสังฆราชโดยไม่ขัดหรือแย้งกับกฎหมาย พระธรรมวินัยและกฎมหาเถรสมาคม
            มาตรา ๑๐ ในเมื่อไม่มีสมเด็จพระสังฆราช ให้สมเด็จพระราชาคณะผู้มีอาวุโสสูงสุดโดยสมณศักดิ์เป็นผู้ ปฏิบัติหน้าที่สมเด็จพระสังฆราช
            ๒. ผู้รับสนองพระบรมราชโองการ 
               ๒.๑ จอมพล สฤษดิ์ ธนะรัชต์ นายกรัฐมนตรี เป็นผู้รับสนองพระบรมราชโองการในการประกาศใช้พระราชบัญญัติ คณะสงฆ์ พ.ศ.๒๕๐๕ และ ๒.๒ นายอานันท์ ปันยารชุน นายกรัฐมนตรี เป็นผู้รับสนองพระบรมราชโองการในการประกาศใช้พระราชบัญญัติ คณะสงฆ์ พ.ศ.๒๕๓๕
        
      จากพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ ที่แสดงรายละเอียดไว้ปรากฏกับสายตาผู้อ่านดังนี้แล้วอีกทั้งคณะกรรมการมหาเถรสมาคม ก็ได้ยึดถือปฏิบัติแล้วทุกประการ แต่ ณ บัดนี้ การสถาปนาสมเด็จพระสังฆราช กำลังจะมีทีท่าว่าจะถูกดองให้ยืดเยื้อต่อไปอีกนานเท่าไร ขอให้ฝ่ายกฎหมายของรัฐบาลไทยในยุคนี้ ช่วยชี้แจงแถลงการณ์ ให้สังคมได้ทราบด้วยจะได้หรือไม่?????

    จากพ.ร.บ.ฉบับบนี้ แปลเป็นภาษาชาวบ้านที่เข้าใจง่ายๆก็คือ

ทางฝ่ายบ้านเมืองมีหน้าที่เพียงแค่นำรายชื่อจาก

มหาเถรสมาคมทูลเกล้าถวายในหลวงเพื่อตั้งสังฆราช ทำไมถึง

ยังไม่ทำซักที ไยดองงานไว้นานถึงเพียงนี้ 

 
     อ่านมาถึงตรงนี้ชาวพุทธฯบางคนอาจจะคิดว่า อะไรกันนักกันหนา  พระท่านบวชมาเพื่อละ โลภ โกรธ หลง และปล่อยวาง ท่านไม่ยึดติดกับตำแหน่งอะไรทั้งสิ้นหรอกน่า  ทำไมจะต้องออกมาเรียกร้องให้มีการแต่งตั้งด้วยนะ  เรื่องเกี่ยวกับพระน่าจะเป็นเรื่องเย็นๆ  ตีโพยตีพายจนเกินไปหรือเปล่า  

     ต้องขอเตือนตรงนี้เลยค่ะว่า ไม้ขีดเพียงก้านเดียวสามารถเผาบ้านเผาเมืองให้วอดวายได้ในชั่วพริบตา  เช่นกันค่ะ การที่เราดูเบาเพียงเล็กน้อยก็อาจเปิดโอกาสให้คนชั่วเหิมเกริม กระทำกรรมที่หยาบช้าอย่างย่ามใจแบบได้คืบจะเอาวาเอาศอกแบบนั้น  แล้วสิ่งที่จะตามมา ก็จะเป็นปัญหาบานปลายใหญ่โตจนยากจะเยียวยา  ทางที่ดีเราต้องตัดไฟเสียแต่ต้นลมค่ะ ผู้มีดวงปัญญา และบรรพบุรุษที่แสนฉลาด ได้กู้ชาติบ้านเมืองจนเราคงความเป็นไทย กินอิ่มนอนหลับไม่ต้องตกเป็นทาสใคร  เราลูกหลานไทยต้องช่วยกันรักษาพระพุทธศาสนาให้สืบทอดต่อไปสู่ลูกหลาน เป็นมรดกธรรมจากรุ่นสู่รุ่นต่อไป





     พระพุทธศาสนาเป็นดั่งกฎหมายทางใจ  ที่จะน้อมนำให้คนปฏิบัติมีความสุขไม่เบียดเบียนตนเอง และผู้อื่น  เมื่อลูกหลานของเราเกิดมาในสังคมที่ร่มเย็นไม่เบียดเบียน มีความละอายและเกรงกลัวต่อความไม่ดีทั้งปวง  ทั้งต่อหน้า และลับหลัง ทั้งที่ลับ และที่แจ้ง ปัญหาสังคมก็จะหมดไปอย่างเหลือเชื่อ 

       อย่างเช่นปัญหาที่พ่อแม่ทุกครอบครัวกังวลเกี่ยวกับลูก คือการชิงสุกก่อนห่ามของเด็กๆที่รู้เท่าไม่ถึงการณ์ก็จะหมดไป  และชื่อเสียงอันฉาวโฉ่ระดับเอเซียของประเทศไทยเราเรื่องปัญหาท้องในวัยเรียน และปัญหาการทำแท้งก็จะหมดไป และครอบคลุมถึงเรื่องของคุณธรรม จริยธรรมด้านอื่นๆอีกมากมายสาธยายไม่หมด






     อย่าคิดตัดช่องน้อยแต่พอตัว เอาเฉพาะครอบครัวตนเองให้อยู่ดีกินดีแค่นั้นพอ  เพราะต่อให้คุณร่ำรวยล้ำฟ้าขนาดไหน สามารถจ้างบอดี้การ์ดดีเยี่ยมเพื่อคุ้มครองตัวคุณ และคนที่คุณรักแต่คุณไม่สามารถดูแลตัวเอง และคนที่คุณรักให้อยู่ดีมีสุขในกรงทองได้ตลอด ถ้าสังคมรอบๆกรงทองของคุณเลวร้าย  คุณจะมีความสุขแบบยั่งยืนได้อย่างไรถ้าต้องใช้ชีวิตอยู่ท่ามกลาง ความหวาดระแวงของผู้คนที่ผิดศีลผิดธรรม
 
     รักตัวของเราเองให้ยาวๆ ด้วยการสร้างสังคมแห่งคุณธรรมความดีให้เป็นมรดกกับลูกหลาน  ช่วยกันนะคะปกป้อง และรักษาพระพุทธศาสนาให้เป็นศาสนาประจำชาติไทยเพื่อตัวคุณเอง และคนที่คุณรัก





















วันพฤหัสบดีที่ 18 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2559

"สมเด็จช่วง" ผู้เป็นที่เคารพรักของพุทธศาสนิกชน

กระแสความเมตตา...ที่พุทธศาสนิกชนสัมผัสได้ด้วยใจ

     จบจากข่าวพุทธมณฑลที่คณะสงฆ์ทั้งแผ่นดินไทย ได้ร่วมกันยื่นข้อเสนอต่อฝ่ายอาณาจักร หรือรัฐบาลโดยสันติเพื่อไม่ให้เกิดการแทรกแซง ต่อระบบการปกครองของคณะสงฆ์ไทย แต่ข่าวที่อออกมาก็ถูกชงซะเป็นเรื่องเด่นประเด็นร้อนแรงให้คนหลายคนต้องเข้าใจผิดคิดว่าทำไมพระสงฆ์องค์เจ้าต้องออกมาเรียกร้อง จนมีภาพออกมาว่าเกิดการปะทะกันรุนแรงกับฝ่ายทหาร ดูเถอะเป็นไปได้ขนาดนั้นกันเลยทีเดียว ฝ่ายพุทธจักร และฝ่ายอาณาจักรมีความเกื้อกูลกันเหนียวแน่นมายาวนาน แม้ว่าจะมีความไม่เข้าใจกันบ้างก็มีเพียงเล็กน้อย ถึงแม้จะถูกพวก”บ่าง”ที่มีนิสัยชอบยุยงให้แตกแยก ก็ไม่สามารถทำลาความสัมพันธ์อันดีงามนี้ได้  
ก็สู้กันต่อไปค่ะ
“พระก็ทำหน้าที่ของพระ  มารก็ทำหน้าที่ของมาร”

      และก็เป็นไปตามคาด พอจบจากข่าวประเด็นร้อนที่พุทธมณฑล ก็มีประเด็นข่าวฮอตชิงอบายออกมาอีกทันทีค่ะ คราวนี้เล่นไปถึงสมเด็จช่วงผู้เป็นที่เคารพรักของชาวพุทธทั้งประเทศกันเลยทีเดียว  จนมีน้องคนนึงที่ทนไม่ได้เพราะชีวิตเขาใกล้ชิดกับสมเด็จช่วงท่านมาโดยตลอด ในฐานะชาวพุทธคนนึงที่ไม่มีตำแหน่งหน้าที่ใหญ่โตอะไร เป็นพลเมืองเดินดินคนธรรมดา ก็มีความในใจที่ใสบริสุทธิ์ไร้ผลประโยชน์แอบแฝง ได้แสดงความในใจถึงสมเด็จวัดช่วงผู้เป็นที่เคารพรักยิ่งของเขาว่า

ช่วงนี้เรื่องพระๆมีแต่ข่าวออกมาในด้านร้ายเยอะครับเลยอยากเล่าเรื่องหลวงตารูปหนึ่งให้ฟัง



     ถ้าใครไม่รู้จักบุคคลในภาพ ก็คงนึกว่าบุคคลท่านนี้ ก็คือหลวงตารูปหนึ่งธรรมดาอายุ90กว่าๆ เกือบทุกครั้งที่ผมไปทำบุญที่วัดปากน้ำ กับที่บ้าน ตั้งแต่เด็ก ถ้ามาช่วยบ่ายๆเย็นๆ ก็พบเห็น หลวงตาท่านนี้หละครับ นั่งอยู่ตรงศาลาภายในวัด ดูญาติโยมมาทำบุญ ยายผมก็มักจะพาผมไปกราบ และถวายปัจจัย กราบเฉยๆไม่ถวายปัจจัย ท่านก็ไม่ว่าอะไร

     ท่านคุยกับทุกคนที่เข้าไปพบท่านนั่นหละครับ คุยมากคุยน้อยแล้วแต่ว่ามีเรื่องให้คุย ทุกคนก็เข้าหาพระรูปนี้ได้หมด เข้าหาพบเจอได้ง่ายมาก ไม่ว่าจะจน จะรวย ก็มีเวลาเจอหลวงตารูปนี้เท่าๆกัน
     บางวันถ้าช่วงที่ยังแข็งแรง ก็จะเดินสำรวจวัด ทักทายญาติโยมบางวัน ท่านก็นั่งอยู่กับสุนัขของท่าน พาเดินเล่นบ้างแต่เนื่องจากว่าพักหลังท่านก็แก่ละ เลยต้องนั่งรถเข็น และเจ้าน้องหมานี่ละ ก็วิ่งตามรถเข็นท่านไป (แต่เสียดาย เจ้าหมาในภาพเสียชีวิตไปแล้ว)

ชีวิตของหลวงตารูปนี้ ดูเรียบง่าย ไม่โลดโผน จนไม่น่าเชื่อว่า
 "นี่คือว่าที่สมเด็จพระสังฆราช"
     ด้วยการดำรงชีวิตที่เรียบง่าย และโคตรจะติดดิน ของหลวงตาองค์นี้ ผมจึงแทบไม่เคยเห็นความ "อยาก" ในเรื่อง "ลาภ ยศ สรรเสริญ" ของหลวงตาองค์ แม้แต่เพียงนิดเดียวแม้แต่ตำแหน่งสังฆราช ที่ท่านมีความชอบธรรม 100%ที่ควรจะได้มา ท่านก็ไม่เคยแสดงความ "อยาก" แม้แต่นิดเดียวว่า "ต้องเป็นฉัน"
สิ่งที่เห็นมากที่สุด กลับเป็น "ความเมตตา"
     ในเรื่องความเมตตา หลวงตาองค์นี้ถือว่ามีความเมตตาที่สูงทีเดียวคือคนด่า ใส่ร้าย หาเรื่องใส่หลวงตาองค์นี้ทุกวัน ซึ่งจริงๆท่านก็มีสิทธิ์ในการที่จะตอบโต้ในเรื่องที่มันไม่จริงแต่สิ่งที่หลวงตาองค์นี้ทำคืออะไร ?สิ่งที่หลวงตาองค์นี้ทำ ไม่ใช่นิ่งเฉยเพียงอย่างเดียวยังมีความเมตตาในความนิ่งเฉยนั้นอีกด้วย

"อย่าไปทำอะไร อย่าไปเอาเรื่องเขา ปล่อยเขาพูดไป"

 นี่คือสิ่งที่ท่านบอกกับคนใกล้ตัว และลูกศิษย์อยู่เสมอ



พระสัมมมาสัมพุทธเจ้าได้ตรัสไว้ว่า มนุษย์ในโลกนี้มีอยู่ 5 จำพวกด้วยกันค่ะ
          1. มนุสสเนรยิโก มนุษย์สัตว์นรก คือ มนุษย์ผู้ดุร้าย หยาบคาย ฆ่าสัตว์ตัดชีวิตจี้ปล้นเอาทรัพย์สมบัติของผู้อื่นมาเป็นของตน เบียนผู้อื่นสัตว์อื่นทรมานผู้อื่นสัตว์อื่นให้เดือดร้อน เป็นคนไร้ศีลธรรม ไม่มีศีล 5 ประจำตัวเป็นมนุษย์แต่ชื่อ ส่วนความประพฤติทางกาย วาจา ใจนั้นเลวทราม ดุร้ายหยาบคายเหมือนสัตว์นรก ฉะนั้น



     ตัวอย่างที่เห็นชัดๆในยุคปัจจุบันนี้ก็คือ พวกสื่อสีดำ หรือคนที่ลงข่าวว่าร้ายพระสงฆ์องค์เจ้าอย่างไม่กลัวบาปกรรม เป็นมนุษย์แต่เพียงร่างกาย แต่จิตใจนั้นเหมือนดังสัตว์นรกที่หยาบช้าพูดง่ายๆก็คือ ฮาร์ดแวร์โดยร่างกายน่ะเป็นมนุษย์เหมือนพวกเรานี่แหละค่ะ แต่ซอฟแวร์คือจิตใจภายในนั้นได้กลายเป็นสัตว์นรกไปแล้ว
      มนุษย์ที่มีแต่ร่างกายแต่จิตใจเป็นสัตว์นรกพวกนี้ปะปนอยู่กับพวกเรา บางคนอาจอาจมีตำแหน่งหน้าที่การงานใหญ่โตทางสังคม  ร่ำรวยมหาศาล ตอนมีชีวิตอยู่ผู้คนนับหน้าถือตาเป็นผู้นำกระแสความคิดทางสังคม ตอนมีชีวิตอยู่ผู้คนที่ไม่รู้ถึงสภาพจิตใจก็พากันยกย่องเรียก“ท่าน” แต่พอตายไปแล้วไม่แคล้วต้องไปรับกรรมชั่วที่ตัวได้ก่อไว้มีสรรพนามเป็น “ตัว” เสวยทุกข์โทษภัยในอบายเป็นสัตว์นรกค่ะ
          2. มนุสสเปโต มนุษย์เปรต คือ มนุษย์ผู้มากไปด้วยความโลภ มากไปด้วย        ตัณหา ชอบลักเล็กขโมยน้อยโลภเอาของผู้อื่นมาเป็นของตน แย่งชิงวิ่งราว        เป็นต้น
          3. มนุสสติรัจฉาโน มนุษย์สัตว์เดรัจฉาน คือ มนุษย์ที่ขวางศีลขวางธรรม มีโมหะคือความหลงมาก ไม่รู้จักบาป ไม่รู้จักบุญ ไม่รู้จักคุณ ไม่รู้จักโทษ ไม่รู้จักประโยชน์และมิใช่ประโยชน์ ไม่รู้จักบุญคุณของผู้มีพระคุณ เช่น บิดามารดา ครูบาอาจารย์ เป็นต้น
        4. มนุสสภูโต มนุษย์แท้ๆ คือ เป็นมนุษย์เต็มตัว ได้แก่ มนุษย์รักษาศีล 5 เป็นนิตย์ไม่ขาด ไม่ประมาทต่อศีลเพราะศีลเป็นมนุษยธรรม คือเป็นธรรมประจำมนุษย์ ธรรมที่ทำให้มนุษย์เป็นมนุษย์ มนุสสภูโต แปลว่า มนุษย์แท้ๆ เพราะมีคุณธรรมของมนุษย์คือศีล
       5. มนุสสเทโว มนุษย์เทวดา คือ มนุษย์ผู้รักษาศีล 5 เป็นนิตย์ แล้วยังได้พยายามบำเพ็ญกุศลเพิ่มพูนบารมีอยู่เรื่อยๆ เช่น ให้ทาน ฟังธรรม เรียนธรรม ปฏิบัติธรรม ไหว้พระสวดมนต์ มีหิริคือความละอายต่อบาป มีโอตตัปปะ คือความสดุ้งกลัวต่อผลแห่งบาปอยู่เสมอ เรียกว่า เป็นผู้มีจิตใจสูงดุจเทวดา

      คุณล่ะคะจัดอยู่ในมนุษย์จำพวกไหน  บางคนกำลังด่าว่าพระอยู่ฉอดๆ แต่กลับได้รับการเอออวยชื่นชมจากคนประเภทเดียวกันโดยไม่รู้ทุกข์โทษภัยที่ตัวเองได้ก่อไว้ สร้างบาปกรรมทำเข็ญ และความมัวหมองให้กับพระศาสนา  แล้วก็คิดเข้าข้างตัวเองว่าทำถูกต้องแล้ว 
ดีงามแล้ว ชักชวนกันไปอบายขนานใหญ่ เมื่อแนะนำให้ข้อมูลความจริงแล้วไม่ฟังก็คงต้องวางอุเบกขาค่ะ ปล่อยให้ไปตามเส้นทางนรกที่พวกเขาเหล่านั้นได้เลือกเอง
      ขอธรรมของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าคุ้มครองแผ่นดินไทย และขอให้ศาสนาพุทธเป็นศาสนาประจำโลกโดยเร็วพลัน   






วันพุธที่ 17 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2559

Episode1 สัญญาณของยุคมืด กับความฝันพระเจ้าปเสนทิโกศล16ประการ

ความฝัน 16 ประการของพระเจ้าปเสนทิโกศล ตอนที่ 1

ในกาลสมัยที่พระสมณโคดมสัมมาสัมพุทธเจ้าของพวกเรายังทรงพระชนม์ชีพอยู่พระเจ้าปเสนทิโกศลซึ่งเป็นพระราชาแห่งแคว้นโกศล ได้ทรงบรรทมหลับในยามราตรีและทรงฝันเห็นนิมิตยืดยาวถึง16 ประการ


พระเจ้าปเสนทิโกศลทรงฝันเห็นนิมิต 16 ประการ


        ด้วยเหตุนี้เอง จึงทำให้พระเจ้าปเสนทิโกศลทรงตกพระทัยตื่นขึ้นในกลางดึกเมื่อทรงรู้สึกตัวแล้ว พระองค์ทรงเกิดความหวาดกลัวต่อมรณภัย จนไม่สามารถที่จะข่มพระเนตรหลับต่อไปได้อีก จนกระทั่งถึงรุ่งเช้า เมื่อพวกพราหมณ์ปุโรหิตมาเข้าเฝ้าในวันรุ่งขึ้น พระองค์จึงทรงตรัสเล่าความฝันทั้ง 16-ประการให้พวกพราหมณ์ฟัง แล้วก็ทรงรับสั่งถามพวกพราหมณ์ว่า “พวกท่านช่วยทำนายให้ทีเถิดว่าจะเกิดอะไรขึ้น”


 พระเจ้าปเสนทิโกศลตรัสถามพวกพราหมณ์ปุโรหิต ถึงความฝันของพระองค์


       ครั้นเหล่าพราหมณ์ปุโรหิตได้ฟังความฝันของพระเจ้าปเสนทิโกศลแล้วทุกคนก็พาลเกิดอาการ มืดแปดด้านเพราะไม่มีใครสามารถพยากรณ์ความฝันทั้ง 16-ประการ นี้ได้ ครั้นจะบอกว่า...ตัวเองไม่รู้ก็ไม่ได้ ด้วยเหตุนี้เอง...เหล่าพราหมณ์ปุโรหิตจึงแสร้งทำท่าสลัดมือแสดงอาการหวาดกลัวเมื่อได้ฟังความฝันทั้ง 16-ประการของพระเจ้าปเสนทิโกศล


 พวกพราหมณ์ปุโรหิตแสร้งทำเป็นหวาดกลัว เมื่อได้ยินความฝันของพระเจ้าปเสนทิโกศล

        เมื่อพระเจ้าปเสนทิโกศลทรงเห็นอาการของเหล่าพราหมณ์ปุโรหิตเช่นนั้น จึงทรงตรัสถามไปว่า...“ฝันของเรามันดีหรือร้ายอย่างไร เพราะเหตุใด...พวกท่านจึงพากันเกิดอาการสะดุ้งหวาดกลัวเช่นนั้น”
    เหล่าพราหมณ์ปุโรหิตเมื่อเห็นว่าได้ที จึงกราบทูลว่า “ข้าแต่มหาราชเจ้า พระสุบินของพระองค์ในครั้งนี้มันช่างรุนแรงและเลวร้ายยิ่งนัก”
 พระเจ้าปเสนทิโกศลตรัสถามถึงผลร้ายที่จะเกิดขึ้น
        ครั้นพระเจ้าปเสนทิโกศลทรงฟังเหล่าพราหมณ์ปุโรหิตกล่าวเช่นนั้น พระองค์จึงทรงเริ่มมีพระอาการหวั่นวิตก และทรงตรัสถามต่อไปอีกว่า “แล้วมันจะมีผลร้ายต่อเราอย่างไรหรือ”เหล่า พราหมณ์ปุโรหิตก็ได้กราบทูลต่อไปว่า “จะมีเหตุร้าย หนึ่งในสามประการนี้เกิดขึ้นกับพระองค์ คือ
 ประการแรก......จะเกิดความวิบัติต่อราชสมบัติของพระองค์
 ประการที่สอง...จะมีโรคระบาดร้ายแรงเกิดขึ้น
ประการที่สาม....จะมีอันตรายที่อาจถึงแก่ชีวิตเกิดขึ้นแก่พระองค์พระเจ้าข้า”
 พราหมณ์ปุโรหิตกราบทูลให้ทรงทราบว่า จะมีเหตุร้ายอย่างใดอย่างหนึ่งในสามประการ
        เมื่อพระเจ้าปเสนทิโกศลได้ฟังเช่นนั้น พระองค์จึงทรงตรัสถามด้วยอาการพรั่นพรึงว่า ......
“แล้วพวกท่านพอจะหาวิธีแก้ไขเหตุร้ายทั้งสามประการนี้ได้หรือไม่” 

เหล่าพราหมณ์ปุโรหิตก็ได้กราบทูลว่า “ขอเดชะมหาราชเจ้า พระสุบินของพระองค์ในครั้งนี้มันช่างร้ายแรงยิ่งนัก พวกเกล้ากระหม่อมเกรงว่าเหตุร้ายในครั้งนี้ เห็นทีพระองค์จะไม่มีทางหลีกเลี่ยงไปได้ อย่างมากก็คงเพียงแค่ผ่อนหนักให้เป็นเบาเท่านั้นพระเจ้าข้า”
 พราหมณ์ปุโรหิตกราบทูลให้ทรงทราบว่า เหตุร้ายนั้นไม่อาจหลีกเลี่ยงได้
        ครั้นเหล่าพราหมณ์ปุโรหิตกล่าวเช่นนั้น พระเจ้าปเสนทิโกศลจึงทรงตรัสถามถึงวิธีแก้ต่อไปว่า “เราจะต้องทำอย่างไร จึงจะผ่านเหตุร้ายทั้งสามประการในครั้งนี้ไปได้”
    เหล่า พราหมณ์ปุโรหิตก็ได้กราบทูลว่า “ข้าแต่มหาราชเจ้า พระองค์จะต้องจัดพิธีบูชายัญด้วยวัตถุสิ่งของทุกอย่าง และสัตว์ทุกชนิด ชนิดละสี่อย่าง...พระเจ้าข้า เมื่อพระองค์ทรงทำเช่นนี้แล้ว เหตุร้ายในครั้งนี้ก็จะมีกำลังเบาบางลงไป”
 พราหมณ์ปุโรหิตกราบทูลให้ทรงทราบว่า เหตุร้ายจะบรรเทาได้ต้องทำการบูชายัญ
        เมื่อพระเจ้าปเสนทิโกศลได้สดับตรับฟังเช่นนั้น พระองค์จึงทรงตรัสกับเหล่าพราหมณ์ปุโรหิตทั้งหลายว่า “ท่านอาจารย์ ถ้าอย่างนั้น...เราขอฝากชีวิตไว้กับพวกท่านด้วย พวกท่านจงรีบจัดเตรียมพิธีบูชายัญปัดเป่าเหตุร้ายให้แก่เราโดยเร็วด้วยเถิด”
พระเจ้าปเสนทิโกศลรับสั่งให้พราหมณ์ปุโรหิต จัดพิธีบูชายัญปัดเป่าเหตุร้าย