เรื่องราวจากปลายปากกาของหนึ่งในอุปฐากหลวงพ่อธัมมชโย
วันพุธที่ 6 มกราคม 2542
ข่าวคราวต่างๆ ยังไม่จบสิ้น ดูเหมือนการว่าร้ายวัดยังไม่มีทีท่าว่าจะจบลงง่ายๆ และดูเหมือนบรรยากาศจะรุนแรงเพิ่มมากขึ้นๆ
ตอนนี้มีพระบางรูปมาออกรายการโทรทัศน์ให้ข้อมูลผิดๆ เกี่ยวกับวัด และว่าร้ายหลวงพ่อด้วยทำให้คนไม่รู้ความจริงคลางแคลงสงสัย เข้าใจผิด และเกิดภาพลบๆ ติดอยู่ในใจ แต่คนที่มาวัดรู้ว่าอะไรเป็นอะไร แทบทุกคนรู้สึกทนไม่ได้ทั้งโกรธ เดือดร้อน และเจ็บใจที่มีการกล่าวร้ายหลวงพ่อหนักขนาดนี้โดยที่จะตอบโต้อะไรเขาไม่ได้ เพราะหลวงพ่อให้ยึดคำสอนพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่ทรงให้หลักโอวาทปฏิโมกข์ไว้
ไม่ให้เบียดเบียนผู้อื่น
ไม่ให้ว่าร้ายผู้อื่น
และให้ทุกคนอดทน
พวกเราจึงต้องทั้งอดทั้งทน การที่เราอดทนได้กับข่าวร้ายอย่างนี้จะเป็นแบบอย่างให้กับวัดอื่นด้วย
หลวงพ่อบอกว่า...
รู้สึกเฉยๆ ไม้ได้โกรธ แล้วหลวงพ่อก็นิ่ เงียบ ไม่โต้กลับใดๆ ทั้งสิ้น
ขอขอบคุณข้อมูลจากหนังสือ LogBook บันทึกอุปัฏฐาก
โดย อลงกรณ์ สถาปิตานนท์(โค้ก)
ได้มีโอกาสอ่านหนังสือเล่มนี้ทำให้นึกถึงตัวของข้าพเจ้าเองในสมัยสาวๆ เมื่อสิบกว่าปีที่ผ่านมาตอนนั้นจำได้ว่าได้ยินข่าวคราวของวัดผ่านสื่อต่างๆมากมายทั้งทีวี หนังสือพิมพ์ เกี่ยวกับข่าวว่าร้ายของหลวงพ่อธัมมชโยเรียกว่าเป็นข่าวฮอตฮิตติดชาร์ทในสมัยนั้นเลยทีเดียวประมาณปีพ.ศ.2541-2542 มีอยู่ช่วงนึงข้าพเจ้าได้ข่าวว่าตอนนี้หลวงพ่อธัมมชโยท่านสึกไปแล้วก็เกิดอาการสงสัยอย่างรุนแรงว่าเอ๊ะ!!มันจะเป็นไปได้เหรอวัดพระธรรมกายที่มีคนมาปฏิบัติธรรมเรือนหมื่นเรือนแสนโดยมีหลวงพ่อธัมมชโยเป็นศูนย์รวมใจ หลวงพ่อผู้นำในการชวนคนสร้างความดีแบบไม่มีเว้นวรรคจะสึกไปเพราะเหตุใด
ในฐานะชาวพุทธคนนึง ทำให้ข้าพเจ้ารีบบึ่งมาดูที่วัดนี้ด้วยความสนใจให้เห็นกับตาตัวเองว่า ที่ว่าสึกไปแล้วน่ะจริงมั๊ย?? ปรากฏว่า
ข้าพเจ้ายังเห็นท่านยังคงเทศน์สอน และนำปฏิบัติธรรมให้กับญาติโยมตามปกติ และท่านยังคงย้ำหลังจากปฏิบัติธรรมว่า
"ท่านจะตายในผ้าเหลือง"
ในฐานะพุทธศาสนิกชนคนเดินดินคนนึงข้าพเจ้าก็เลยเริ่มเข้าใจคำว่า "ใส่ร้าย" นับตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา ข้าพเจ้าสอนตัวเองว่า จะไม่เชื่อถือในสิ่งที่ได้เห็น ได้ยิน ได้รู้ โดยไม่ไตร่ตรองโดยแยบคาย และพิสูจน์ด้วยตนเองอีกเป็นอันขาด
จากวันนั้นถึงวันนี้เหตุการณ์ก็ผ่านมาเกือบสิบกว่าปีแล้ว หลวงพ่อธัมมชโยยังคงทำหน้าที่เผยแผ่ธรรมะคำสอนของพระสัมมาพุทธเจ้าเหมือนเช่นสิบกว่าปีก่อนที่ข้าพเจ้าเคยเห็น จนเกิดผลงานทางพระศาสนามากมาย และปัจจุบันนี้ปีพ.ศ. 2559 เหตุการณ์ดูจะเริ่มคล้ายเมื่อปีพ.ศ.2542อีกครั้ง ข้าพเจ้ามีความมั่นใจอย่างเหลือเกินตามบทกลอนที่ว่า
ใครจะอาจป้ายสี ท้องฟ้าใส
ป้ายอย่างไรฟ้าก็ไม่ ยอมเปลี่ยนสี
ต่อให้ป้ายต่อไป เป็นล้านปี
ก็ไม่อาจเปลี่ยนสี ท้องฟ้างาม
ธัมมชโย,ธัมมชโย,ธัมมชโย,ธัมมชโย,ธัมมชโย,ธัมมชโย,ธัมมชโย,ธัมมชโย,ธัมมชโย,ธัมมชโย,
ธัมมชโย,ธัมมชโย,ธัมมชโย,ธัมมชโย,ธัมมชโย,ธัมมชโย,ธัมมชโย,ธัมมชโย,ธัมมชโย,ธัมมชโย,
ธัมมชโย,ธัมมชโย,ธัมมชโย,ธัมมชโย,ธัมมชโย,ธัมมชโย,ธัมมชโย,ธัมมชโย,ธัมมชโย,ธัมมชโย,
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น