กระแสความเมตตา...ที่พุทธศาสนิกชนสัมผัสได้ด้วยใจ
จบจากข่าวพุทธมณฑลที่คณะสงฆ์ทั้งแผ่นดินไทย ได้ร่วมกันยื่นข้อเสนอต่อฝ่ายอาณาจักร หรือรัฐบาลโดยสันติเพื่อไม่ให้เกิดการแทรกแซง ต่อระบบการปกครองของคณะสงฆ์ไทย แต่ข่าวที่อออกมาก็ถูกชงซะเป็นเรื่องเด่นประเด็นร้อนแรงให้คนหลายคนต้องเข้าใจผิดคิดว่าทำไมพระสงฆ์องค์เจ้าต้องออกมาเรียกร้อง จนมีภาพออกมาว่าเกิดการปะทะกันรุนแรงกับฝ่ายทหาร ดูเถอะเป็นไปได้ขนาดนั้นกันเลยทีเดียว ฝ่ายพุทธจักร และฝ่ายอาณาจักรมีความเกื้อกูลกันเหนียวแน่นมายาวนาน แม้ว่าจะมีความไม่เข้าใจกันบ้างก็มีเพียงเล็กน้อย ถึงแม้จะถูกพวก”บ่าง”ที่มีนิสัยชอบยุยงให้แตกแยก ก็ไม่สามารถทำลาความสัมพันธ์อันดีงามนี้ได้
ก็สู้กันต่อไปค่ะ
“พระก็ทำหน้าที่ของพระ มารก็ทำหน้าที่ของมาร”ก็สู้กันต่อไปค่ะ
และก็เป็นไปตามคาด พอจบจากข่าวประเด็นร้อนที่พุทธมณฑล ก็มีประเด็นข่าวฮอตชิงอบายออกมาอีกทันทีค่ะ คราวนี้เล่นไปถึงสมเด็จช่วงผู้เป็นที่เคารพรักของชาวพุทธทั้งประเทศกันเลยทีเดียว จนมีน้องคนนึงที่ทนไม่ได้เพราะชีวิตเขาใกล้ชิดกับสมเด็จช่วงท่านมาโดยตลอด ในฐานะชาวพุทธคนนึงที่ไม่มีตำแหน่งหน้าที่ใหญ่โตอะไร เป็นพลเมืองเดินดินคนธรรมดา ก็มีความในใจที่ใสบริสุทธิ์ไร้ผลประโยชน์แอบแฝง ได้แสดงความในใจถึงสมเด็จวัดช่วงผู้เป็นที่เคารพรักยิ่งของเขาว่า
ถ้าใครไม่รู้จักบุคคลในภาพ ก็คงนึกว่าบุคคลท่านนี้ ก็คือหลวงตารูปหนึ่งธรรมดาอายุ90กว่าๆ เกือบทุกครั้งที่ผมไปทำบุญที่วัดปากน้ำ กับที่บ้าน ตั้งแต่เด็ก ถ้ามาช่วยบ่ายๆเย็นๆ ก็พบเห็น หลวงตาท่านนี้หละครับ นั่งอยู่ตรงศาลาภายในวัด ดูญาติโยมมาทำบุญ ยายผมก็มักจะพาผมไปกราบ และถวายปัจจัย กราบเฉยๆไม่ถวายปัจจัย ท่านก็ไม่ว่าอะไร
ท่านคุยกับทุกคนที่เข้าไปพบท่านนั่นหละครับ คุยมากคุยน้อยแล้วแต่ว่ามีเรื่องให้คุย ทุกคนก็เข้าหาพระรูปนี้ได้หมด เข้าหาพบเจอได้ง่ายมาก ไม่ว่าจะจน จะรวย ก็มีเวลาเจอหลวงตารูปนี้เท่าๆกัน
บางวันถ้าช่วงที่ยังแข็งแรง ก็จะเดินสำรวจวัด ทักทายญาติโยมบางวัน ท่านก็นั่งอยู่กับสุนัขของท่าน พาเดินเล่นบ้างแต่เนื่องจากว่าพักหลังท่านก็แก่ละ เลยต้องนั่งรถเข็น และเจ้าน้องหมานี่ละ ก็วิ่งตามรถเข็นท่านไป (แต่เสียดาย เจ้าหมาในภาพเสียชีวิตไปแล้ว)
ชีวิตของหลวงตารูปนี้ ดูเรียบง่าย ไม่โลดโผน จนไม่น่าเชื่อว่า
"นี่คือว่าที่สมเด็จพระสังฆราช"
ด้วยการดำรงชีวิตที่เรียบง่าย และโคตรจะติดดิน ของหลวงตาองค์นี้ ผมจึงแทบไม่เคยเห็นความ "อยาก" ในเรื่อง "ลาภ ยศ สรรเสริญ" ของหลวงตาองค์ แม้แต่เพียงนิดเดียวแม้แต่ตำแหน่งสังฆราช ที่ท่านมีความชอบธรรม 100%ที่ควรจะได้มา ท่านก็ไม่เคยแสดงความ "อยาก" แม้แต่นิดเดียวว่า "ต้องเป็นฉัน"
สิ่งที่เห็นมากที่สุด กลับเป็น "ความเมตตา"
ในเรื่องความเมตตา หลวงตาองค์นี้ถือว่ามีความเมตตาที่สูงทีเดียวคือคนด่า ใส่ร้าย หาเรื่องใส่หลวงตาองค์นี้ทุกวัน ซึ่งจริงๆท่านก็มีสิทธิ์ในการที่จะตอบโต้ในเรื่องที่มันไม่จริงแต่สิ่งที่หลวงตาองค์นี้ทำคืออะไร ?สิ่งที่หลวงตาองค์นี้ทำ ไม่ใช่นิ่งเฉยเพียงอย่างเดียวยังมีความเมตตาในความนิ่งเฉยนั้นอีกด้วย
"อย่าไปทำอะไร อย่าไปเอาเรื่องเขา ปล่อยเขาพูดไป"
นี่คือสิ่งที่ท่านบอกกับคนใกล้ตัว และลูกศิษย์อยู่เสมอ
พระสัมมมาสัมพุทธเจ้าได้ตรัสไว้ว่า มนุษย์ในโลกนี้มีอยู่ 5 จำพวกด้วยกันค่ะ
1. มนุสสเนรยิโก มนุษย์สัตว์นรก คือ มนุษย์ผู้ดุร้าย หยาบคาย ฆ่าสัตว์ตัดชีวิตจี้ปล้นเอาทรัพย์สมบัติของผู้อื่นมาเป็นของตน เบียนผู้อื่นสัตว์อื่นทรมานผู้อื่นสัตว์อื่นให้เดือดร้อน เป็นคนไร้ศีลธรรม ไม่มีศีล 5 ประจำตัวเป็นมนุษย์แต่ชื่อ ส่วนความประพฤติทางกาย วาจา ใจนั้นเลวทราม ดุร้ายหยาบคายเหมือนสัตว์นรก ฉะนั้น
ตัวอย่างที่เห็นชัดๆในยุคปัจจุบันนี้ก็คือ พวกสื่อสีดำ หรือคนที่ลงข่าวว่าร้ายพระสงฆ์องค์เจ้าอย่างไม่กลัวบาปกรรม เป็นมนุษย์แต่เพียงร่างกาย แต่จิตใจนั้นเหมือนดังสัตว์นรกที่หยาบช้าพูดง่ายๆก็คือ ฮาร์ดแวร์โดยร่างกายน่ะเป็นมนุษย์เหมือนพวกเรานี่แหละค่ะ แต่ซอฟแวร์คือจิตใจภายในนั้นได้กลายเป็นสัตว์นรกไปแล้ว
มนุษย์ที่มีแต่ร่างกายแต่จิตใจเป็นสัตว์นรกพวกนี้ปะปนอยู่กับพวกเรา บางคนอาจอาจมีตำแหน่งหน้าที่การงานใหญ่โตทางสังคม ร่ำรวยมหาศาล ตอนมีชีวิตอยู่ผู้คนนับหน้าถือตาเป็นผู้นำกระแสความคิดทางสังคม ตอนมีชีวิตอยู่ผู้คนที่ไม่รู้ถึงสภาพจิตใจก็พากันยกย่องเรียก“ท่าน” แต่พอตายไปแล้วไม่แคล้วต้องไปรับกรรมชั่วที่ตัวได้ก่อไว้มีสรรพนามเป็น “ตัว” เสวยทุกข์โทษภัยในอบายเป็นสัตว์นรกค่ะ
2. มนุสสเปโต มนุษย์เปรต คือ มนุษย์ผู้มากไปด้วยความโลภ มากไปด้วย ตัณหา ชอบลักเล็กขโมยน้อยโลภเอาของผู้อื่นมาเป็นของตน แย่งชิงวิ่งราว เป็นต้น
3. มนุสสติรัจฉาโน มนุษย์สัตว์เดรัจฉาน คือ มนุษย์ที่ขวางศีลขวางธรรม มีโมหะคือความหลงมาก ไม่รู้จักบาป ไม่รู้จักบุญ ไม่รู้จักคุณ ไม่รู้จักโทษ ไม่รู้จักประโยชน์และมิใช่ประโยชน์ ไม่รู้จักบุญคุณของผู้มีพระคุณ เช่น บิดามารดา ครูบาอาจารย์ เป็นต้น
4. มนุสสภูโต มนุษย์แท้ๆ คือ เป็นมนุษย์เต็มตัว ได้แก่ มนุษย์รักษาศีล 5 เป็นนิตย์ไม่ขาด ไม่ประมาทต่อศีลเพราะศีลเป็นมนุษยธรรม คือเป็นธรรมประจำมนุษย์ ธรรมที่ทำให้มนุษย์เป็นมนุษย์ มนุสสภูโต แปลว่า มนุษย์แท้ๆ เพราะมีคุณธรรมของมนุษย์คือศีล
5. มนุสสเทโว มนุษย์เทวดา คือ มนุษย์ผู้รักษาศีล 5 เป็นนิตย์ แล้วยังได้พยายามบำเพ็ญกุศลเพิ่มพูนบารมีอยู่เรื่อยๆ เช่น ให้ทาน ฟังธรรม เรียนธรรม ปฏิบัติธรรม ไหว้พระสวดมนต์ มีหิริคือความละอายต่อบาป มีโอตตัปปะ คือความสดุ้งกลัวต่อผลแห่งบาปอยู่เสมอ เรียกว่า เป็นผู้มีจิตใจสูงดุจเทวดา
คุณล่ะคะจัดอยู่ในมนุษย์จำพวกไหน บางคนกำลังด่าว่าพระอยู่ฉอดๆ แต่กลับได้รับการเอออวยชื่นชมจากคนประเภทเดียวกันโดยไม่รู้ทุกข์โทษภัยที่ตัวเองได้ก่อไว้ สร้างบาปกรรมทำเข็ญ และความมัวหมองให้กับพระศาสนา แล้วก็คิดเข้าข้างตัวเองว่าทำถูกต้องแล้ว
ดีงามแล้ว ชักชวนกันไปอบายขนานใหญ่ เมื่อแนะนำให้ข้อมูลความจริงแล้วไม่ฟังก็คงต้องวางอุเบกขาค่ะ ปล่อยให้ไปตามเส้นทางนรกที่พวกเขาเหล่านั้นได้เลือกเอง
ดีงามแล้ว ชักชวนกันไปอบายขนานใหญ่ เมื่อแนะนำให้ข้อมูลความจริงแล้วไม่ฟังก็คงต้องวางอุเบกขาค่ะ ปล่อยให้ไปตามเส้นทางนรกที่พวกเขาเหล่านั้นได้เลือกเอง
ขอธรรมของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าคุ้มครองแผ่นดินไทย และขอให้ศาสนาพุทธเป็นศาสนาประจำโลกโดยเร็วพลัน
ก็จริงครับ
ตอบลบ