วันพฤหัสบดีที่ 4 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2559

สวรรค์มีตา คุ้มครองคนดี มส.คือซุปเปอร์ฮีโร่ของชาวพุทธฯ


สวรรค์มีตา คุ้มครองคนดี  

                  มส.คือซุปเปอร์ฮีโร่ของชาวพุทธฯ




      มติมหาเถรสมาคม ยัน "ธัมมชโย" ไม่ปาราชิก ขาดจากความเป็นพระ อ้างไม่เจตนาโกง เพราะคืนทรัพย์สินให้ธรรมกายทั้งหมดแล้ว จึงไม่ขัดพระลิขิต สมเด็จพระสังฆราชฯ ยกเหตุบ้านเมืองกำลังปรองดอง...

       เมื่อวันที่ 20 ก.พ. ในการประชุมมหาเถรสมาคม (มส.) โดยมีวาระการประชุมที่สำคัญในการพิจารณา กรณีของ "พระเทพมหาญาณมุนี" หรือ พระธัมมชโย เจ้าอาวาสวัดพระธรรมกาย และประธานมูลนิธิธรรมกาย ปาราชิกขาดจากความเป็นภิกษุ ตามพระลิขิตของ สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก เมื่อปี 2542 กรณีทรัพย์สินที่ดิน 900 ล้านบาทของวัดพระธรรมกาย

     ภายหลังการประชุม พระพรหมเมธี กรรมการและโฆษกมหาเถรสมาคม (มส.) และนายสมชาย สุรชาตรี โฆษกสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ (พศ.) ได้แถลงผลการประชุม ว่า พระเทพญาณมหามุนี หรือพระธัมมชโย เจ้าอาวาสวัดพระธรรมกาย และประธานมูลนิธิธรรมกาย ไม่ขาดปาราชิก ขาดจากความเป็นภิกษุ เนื่องจากได้มีการคืนทรัพย์สินทั้งหมดให้กับทางวัดพระธรรมกายแล้ว ไม่มีเจตนาโกง จึงไม่ถือเป็นการขัดต่อพระลิขิตของ สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก ลงวันที่ 26 เมษายน 2542 แต่อย่างใด


      โดยยืนตามคำตัดสินเดิมเมื่อปี 2549 พร้อมย้ำว่า ขออย่านำเรื่องเดิมมาพูดอีก ซึ่งบ้านเมืองกำลังจะปรองดองเป็นเรื่องสำคัญ โดยวินัยสงฆ์ต้องดูที่เจตนา

ข้อมูลจาก หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ 
ฉบับวันที่ 12 กุมภาพันธ์ 2559

      ได้อ่านคำตัดสินของมส. ชาวพุทธก็ปลื้มปิติดีใจกันทั่วหน้า  ได้เห็นคณะพระเถระผู้เป็นผู้หลักผู้ใหญ่
ในบ้านเมืองให้ความเป็นธรรม นำความถูกต้องชนะความถูกใจ เชิดชูธรรมวินัยอยู่เหนือกฏหมู่ และแน่นอนเมื่อคำตัดสินเป็นดังนี้แล้วก็ย่อมมีเสียงวิพากษ์วิจารณ์แสดงคัดค้านตามมาจากชนกลุ่มน้อยที่ไม่เห็นด้วย เราชาวพุทธทุกคนก็ต้องหนักแน่นอย่าหวั่นไหวกับคำว่าร้ายโจมตีที่คงจะมีมาอีกหลายระลอก
โดยยึดหลักว่า

 "ไม่สู้ ไม่หนี ทำดีเรื่อยไป"
คำว่า "ไม่สู้"  หมายถึง  ไม่สู้แบบมิจฉาทิฐิ
ไม่ได้ให้ไปสู้แบบรบราฆ่าฟัน
ส่วนการชี้แจง ให้ชาวโลกได้รับรู้ความจริงสิ่งที่ถูกต้องให้มากๆ
คือการปลูกสัมมาทิฐิให้เขา
นี่แหละคือการ  "ทำดีเรื่อยไป"


     ราชาวพุทธทุกคนต้องสามัคคีกัน ช่วยกันหวงแหนรักษาพระพุทธศาสนาให้คงอยู่คู่โลกต่อไป  และช่วยเผยแผ่คำสอนที่มีคุณค่าไปสู่ทุกคนในโลก เชื่อว่าพุทธศาสนิกชนที่ดีทุกท่านจะสามารถกระทำได้ไม่ยาก เพราะความดีคนดีทำง่าย คนชั่วทำยาก  ส่วนความชั่วนั้นคนชั่วทำง่ายคนดีทำยาก  ความดีที่เราได้ทำไปจะไม่สูญหายไปไหนอย่างแน่นอน เพราะ   ปลูกถั่วก็ย่อมเป็นถั่ว  ปลูกงาก็ย่อมเป็นงา  คนปลูกถั่วผลผลิตที่เกิดขึ้นจะเป็นงาไปไม่ได้ นอกจากคนปลูกตาถั่วนะว่ามั๊ย

     คนทำดีต้องได้ดีนี้เป็นสัจธรรมที่จริงแท้แน่นอน  แต่ที่เราเห็นคนทำความชั่วผิดศีลผิดธรรมแล้วยังคงลอยนวลไม่ได้รับผลกรรมสนองที่ตนทำไว้เพราะผลของกรรมยังไม่ให้ผล  เราก็อย่าได้ไปเหมาว่า"ทำดีได้ดีมีที่ไหน ทำชั่วได้ดีมีถมไป" แล้วไปทำบาปทำกรรมเพราะไม่เชื่อว่าผลของบาปไม่มีจริง มองไม่เห็นด้วยตาเปล่าพิสูจน์ไม่ได้ แล้วกล่าวหาว่าพระอย่าเอานรกมาล่ออย่าเอาสวรรค์มาขู่  ยังไงถ้าไม่เชื่อแต่ก็อยากให้เผื่อเหนียวกันไว้บ้างก็ดีค่ะ  จะได้ไม่ต้องชีช้ำกะหล่ำปลีถ้าตอนสิ้นชีวีไปเจอของจริง


ในพระไตรปิฎกมีหลักฐานบันทึกไว้มากมายว่า นรก-สวรรค์มีจริง
แต่ทำไมคนจำนวนไม่น้อยยังสงสัยว่านรก-สวรรค์มีจริงหรือไม่?




 เมื่อสมัยก่อนที่หลวงพ่อจะบวช ความสงสัยเรื่องนรก-สวรรค์ว่ามีจริงหรือไม่ ก็เคยเกิดขึ้นกับหลวงพ่อเหมือนกัน เพราะว่าการหาครูบาอาจารย์ในทางธรรมที่กล้ายืนยันว่านรก-สวรรค์มีจริง นับวันจะหาได้น้อยเต็มที

     ยิ่งในยุคนี้เป็นยุคที่เทคโนโลยีเจริญเต็มที่ ถ้าหากมีพระอาจารย์รูปใดยืนยันว่ามีจริง ก็มักจะถูกผู้ที่ไม่เชื่อออกมากล่าวโจมตีว่า เอาสวรรค์มาล่อ เอานรกมาขู่ ซึ่งทำให้ ประชาชนทั่วไป แม้แต่ชาวพุทธก็ชักลังเลว่านรก-สวรรค์มีจริงหรือไม่มีจริง ทั้งๆ ที่เรื่องสวรรค์และนรกนี้เป็นเรื่องราวที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสแสดงธรรมไว้มากมาย แล้วก็มีการบันทึกเป็นหลักฐานอยู่ในพระไตรปิฎกมาเป็นพัน ๆ ปี

     เมื่อสมัยหลวงพ่อยังเรียนอยู่ชั้นประถมต้น ก็เชื่อว่านรก-สวรรค์มีจริง เพราะผู้ใหญ่บอกไว้ตั้งแต่จำความได้ แต่พออยู่ประมาณชั้น ป.๔ ก็เริ่มไม่แน่ใจ เพราะมีผู้ใหญ่บางคนที่ไม่เชื่อมาพูดให้ได้ยินว่านรก-สวรรค์ไม่มีจริง     เมื่อความเห็นของผู้ใหญ่แบ่งเป็น ๒ กลุ่มแบบนี้ หลวงพ่อเองแม้เป็นเด็กแต่ก็ต้องการคำยืนยันจากผู้ใหญ่ แต่ก็ปรากฏว่าหาผู้ที่กล้ายืนยันแบบชัด ๆ ไม่ค่อยได้

     หลวงพ่อนำคำถามนี้ไปถามพระ ถามครูถามลุงป้าน้าอา เพื่อต้องการคำยืนยันว่าสวรรค์-นรกมีจริงหรือไม่มีจริง แล้วก็พบว่าผู้ใหญ่ส่วนใหญ่จะตอบแบบก้ำกึ่งว่ามันน่าจะมีเพราะว่าในพระไตรปิฎกมีบันทึกไว้มาก แต่ว่าท่านเองก็ไม่เคยเห็นด้วยตัวเอง

     การที่ท่านเชื่อว่าน่าจะมี ก็เพราะว่าพระไตรปิฎกนั้นเป็นบันทึกของพระอรหันต์ไม่ใช่บันทึกของชาวบ้านปุถุชน แล้วในการที่คัดลอกต่อ ๆ กันมาจนถึงปัจจุบันนี้ บรรพบุรุษของเราในยุคโน้นก็ไม่มีเหตุผลว่าจะโกหกเราไปทำไม เพราะท่านก็ไม่ได้อะไรจากการที่คัดลอกพระไตรปิฎกไว้เป็นมรดกให้แก่ลูกหลาน


ที่มาจากหนังสือ หลวงพ่อตอบปัญหา
เรื่อง : พระราชภาวนาจารย์ (หลวงพ่อทัตตชีโว)

จากวารสารอยู่ในบุญฉบับเดือนพฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๕๘


มาถึงตรงนี้คุณผู้อ่านคิดว่ายังไงกันคะ  แต่สำหรับตัวของข้าพาเจ้าแล้วได้รับคำแนะเพื่อเป็นหลักตัดสินใจไว้ 2 แบบ ก็คือ

     1.  เชื่อตอนเป็น  
     2.  เห็นตอนตาย

       เชื่อมั่นเหลือเกินว่าเป็นหลักที่ชัดเจนครอบคลุมที่สุด นั่นหมายความว่าเรื่องนรก-สวรรค์ 
เรื่องกฏแห่งกรรมนี้หากใครที่เชื่อถือ และปฏิ่บัติตามคำสอนแนวทางพุทธศาสนาตั้งแต่ตอนมีชีวิตอยู่ ตั้งใจสร้างความดีทั้ง 3 ทางคือ ทางกาย  ทางวาจา และทางใจ ปฏิบัติทาน ศีล ภาวนาตามคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า  ผลที่เกิดขึ้นคือ ชีวิตในปัจจุบันชาติของผู้นั้นก็ไม่เดือดร้อนวุ่นวายใจทั้งตัวเอง และคนรอบตัว อีกทั้งครอบครัว หมู่ญาติ และสังคมก็จะอยู่ร่วมกันอย่างเป็นสุข  

      ซึ่งชีวิตหลังความตายหลังจากละโลกไปแล้ว สมมติว่า นรก-สวรรค์บาปบุญไม่มีก็เจ๊ากันไป ไม่ขาดทุนอะไร แต่ถ้าสมมติว่าถ้ามีจริงแล้วเราไม่ได้เตรียมตัว ทำบาปอกุศลซะเต็มที่ ศีลทั้ง 5 ข้อขาดหมด แล้วจะเป็นยังไงเมื่อไปถึงตรงนั้น ถ้าเรื่องการเวียนว่ายตายเกิดมีจริง ตายแล้วไม่สูญ จะขอกลับมาเข้าร่างมาแก้ตัวใหม่ทำความดี ลบล้างความชั่วความเข้าใจผิดที่ตนได้กระทำไว้จะทำได้หรือไม่  เคยมีใครได้กลับมาแก้ตัวมากน้อยแค่ไหน มีน้อยเคสมากที่ปรากฏว่าตายแล้วฟื้น

      คุณผู้อ่านก็ลองใคร่ครวญดูนะคะว่า เราจะวางผังวางแผนชีวิตของตัวเราเองอย่างไร จะเลือกเชื่อแบบไหนก็ออกแบบชีวิตของคุณเองได้เลยค่ะ  เพราะชีวิตเราลิขิตได้ด้วยตัวของเราเอง















ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น