วันศุกร์ที่ 5 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2559

อาณาจักร และพุทธจักร ความแน่นแฟ้นเกื้อกูลที่ยากเกินบั่นทอน

ข่าวเมื่อวันจันทร์ที่ 15 กุมภาพันธ์ 2559 ที่ผ่านมา เป็นไงคะ กับข่าวที่ออกไป กับเหตุการณ์
ที่มีคณะภิกษุสงฆ์จากทั่วประเทศเดินทางไปรวมตัวกันที่พุทธมณฑลเพื่อขอความสนับสนุนจากฝ่ายอาณาจักรเพื่อให้ความสนับสนุนฝ่ายพุทธจักร พาดหัวข่าวบางฉบับก็นำเสนอซะดูรุนแรง ซึ่งความจริงแล้วไม่มีอะไรค่ะ เป็นการเดินทางมาขอความสนับสนุนอย่างสันติ โดยหัวข้อที่เรียกร้องคือ

ที่ประชุมคณะสงฆ์จากทั่วประเทศจึงมี
สังฆมติร่วมกัน ขอให้ท่านนายกรัฐมนตรีดำเนินการดังนี้

๑.ห้ามหน่วยงานภาครัฐเข้ามาก้าวก่ายเรื่องทางสงฆ์ ขอให้ทำหน้าที่อุปถัมภ์บำรุงพระพุทธศาสนาตามแบบอย่างบรรพบุรุษไทย

๒.ขอให้รัฐบาลยึดถือธรรมเนียมปฏิบัติอันดีงามที่กระทำสืบกันมา คือ การดำเนินการใดๆ เกี่ยวกับการปกครองคณะสงฆ์ ทางรัฐบาลจะต้องปรึกษาและได้รับความเห็นชอบจากมหาเถรสมาคมก่อน

๓.ขอให้ท่านนายกรัฐมนตรี ยึดถือดำเนินการตามมติมหาเถรสมาคมที่มีการเสนอนามสมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์ เพื่อทรงสถาปนาเป็นสมเด็จพระสังฆราช

๔.ขอให้ทางรัฐบาลสั่งเป็นนโยบายให้หน่วยราชการปฏิบัติต่อคณะสงฆ์ด้วยความเคารพเอื้อเฟื้อ ไม่ข่มขู่คุกคามคณะสงฆ์ด้วยการใช้กฎหมาย

๕.ขอให้บรรจุพระพุทธศาสนาเป็นศาสนาประจำชาติในรัฐธรรมนูญ

เครือข่ายคณะสงฆ์และองค์กรภาคีพุทธบริษัท ๔ ทั่วประเทศ
 ๑๕ กุมภาพันธ์ พุทธศักราช ๒๕๕๙


พลเอกประวิตร รก.นายกฯรับข้อเสนอสังฆมติทั้งหมดยกเว้นเรื่องศาสนาพุทธเป็นศาสนาประจำชาติเป็นอำนาจของคณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ ให้ไปยื่นเรื่องที่นั่น

รื่องมันก็ไม่มีอะไรนะคะน่าจะจบแบบHappy Endingทุกฝ่าย เพราะคณะพระภิกษุสงฆ์ท่านก็เดินทางไปโดยสันติ ไม่ได้มีการปิดถนน เอากระสอบทรายมาขวาง เอากรวยมาปิดถนนโรยตะปู
เดินร้องแรกแหกกระเฌอแบบคนวิกลจริต หรือมีอาการอันธพาลแต่อย่างใด
 แต่ก็มีกลุ่มที่ไม่หวังดีต่อประเทศชาติไปกระพือข่าวว่าร้ายพระซะใหญ่โตมโหฬาร ถึงขนาดลงทุนทำภาพการ์ตูนล้อเลียนออกมาอย่างมากมายก่ายกอง

     นอกจากล้อเลียนว่าร้ายพระโดยไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไรแล้ว ยังริอ่านมาสอนพระค่ะ  ซึ่งโดยความเป็นจริง
แล้วไม่ได้มีเหตุการณ์อะไรร้ายแรงเลย  ที่เห็นภาพของคณะภิกษุสงฆ์ช่วยกันยกรถของทหารนั้นก็เกิด
จากว่ากีดขวางเส้นทางค่ะ  ก็เลยต้องออกเรี่ยวแรงยกรถกันซะหน่อยก็แค่นัั้นค่ะ  ถ้าจะมีใครพยายามยุแยงตะแคงรั่วให้เกิดการกระทบกระทั่งกันก็ต้องขอบอกว่า "คิดผิดคิดใหม่  คิดใหม่อย่าให้ผิด" 
 ไม่ดีนะอย่าทำเลยค่ะ  พี่ๆทหารเกือบค่อนประเทศเป็นพุทธศาสนิกชนที่ดี และช่วยเหลือพระ และประชาชนมาตลอด ไม่ว่าจะเกิดอุทกภัย หรือภัยใดๆก็ได้พี่ทหารนี่แหละค่ะที่คอยเป็นกำลังหลักในการบรรเทาทุกข์ หรือว่าจะเป็นงานการกุศลต่างๆ ในแต่ละจังหวัด ก็ได้พี่ทหารนี่แหละค่ะที่ช่วยเตรียมงาน และอำนวยความสะดวก  หรือจะเป็นเหตุการณ์ความไม่สงบใน 4 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ก็ได้ฝ่ายทหารคอยปกป้องคุ้มครองช่วยเหลือวัดต่างๆ ตอนออกบิณฑบาต และคอยช่วยรักษาความปลอดภัย





       เราชาวพุทธทุกคนจะบริโภคสื่อ และรับข้อมูลอะไรก็ต้องพิจารณากันให้รอบคอบถี่ถ้วนนะคะ ไม่ใช่เฮโลตามกระแสสื่อ กระแสSocial  เห็นคนเขาว่าไม่ดีเราได้ฟังได้อ่านอะไรมาก็ตามๆเขาไป  คิดเองเออเองว่าท่าจะจริงเพราะถ้าไม่จริงจะเป็นข่าวได้ยังไง แล้วก็เฮโลไปด่าว่าโพสถ้อยคำหยาบคายด่าว่าพระ โดยที่ตัวเราไม่เคยออกไปสนใจสืบเสาะหาความจริง ไม่ได้พิสูจน์ด้วยตัวของเรา  แบบนี้เดี๋ยวก็จะได้พากันเฮโลไปนรกตามๆกันไป  ไม่คุ้มเลยจริงๆพิมพ์ตามกระแสเพราะความมัน ด่าตามกระแสแค่ไม่กี่บรรทัดแต่ชีวิตต้องวิบัติตกนรกหมกไหม้
       ที่เขียนมาทั้งหมดก็ด้วยรักและห่วงใยต่อเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน  มันจะดีมั๊ยคะก่อนที่เราจะไปเชื่อถือรับรู้ ทำตาม หรือแสดงออกสิ่งใดไปทั้งความคิด คำพูด และการกระทำ  เราควรต้องกลั่นกรองก่อนว่ามันถูกต้องมั๊ย โดยใช้หลักของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่มีมายาวนาน2พันกว่าปีเป็นหลักในการตัดสินใจ ไม่ต้องกลัวเชยค่ะหลักนี้ใช้ได้ทุกยุคทุกสมัย และทุกเหตุการณ์ที่เราต้องตัดสินใจ  ใช้เป็นเกณฑ์บรรทัดฐานของชีวิตก่อนที่เราจะเชื่ออะไรซักอย่างแบบมีเหตุมีผลดังนี้ค่ะ
       หลักกาลามสูตรกังขานิยฐาน 10 หมายถึง วิธีปฏิบัติในเรื่องที่ควรสงสัย หรือหลักความเชื่อที่ตรัสไว้ในกาลามสูตร

       1.  อย่าปลงใจเชื่อ   ด้วยการฟังตามกันมา
       2.  อย่าปลงใจเชื่อ   ด้วยการถือสืบๆกันมา
       3.  อย่าปลงใจเชื่อ   ด้วยการเล่าลือ
       4.  อย่าปลงใจเชื่อ   ด้วยการอ้างตำรา หรือคำภีร์
       5.  อย่าปลงใจเชื่อ   เพราะตรรก
       6.  อย่าปลงใจเชื่อ   เพราะอนุมาน
       7.  อย่าปลงใจเชื่อ   ด้วยการคิดตรองตามเหตุผล
       8.  อย่าปลงใจเชื่อ   เพราะเข้าได้กับทฤษฏีที่พินิจไว้แล้ว
       9.  อย่าปลงใจเชื่อ   เพราะมองเห็นรูปลักษณะน่าจะเป็นไปได้
      10. อย่าปลงใจเชื่อ   เพราะสมณะนี้เป็นครูของเรา

        อ่านดูแล้วบางคนอาจจะรู้สึกอึ้งกิมกี่ไปเลยใช่มั๊ยคะ  ว่าแบบนี้ชีวิตก็ไม่ต้องเชื่อถืออะไร หรือจะไปเชื่อถือใครกันได้ล่ะ เพราะอันโน้นก็ไม่ให้เชื่อ อันนี้ก็ไม่ให้เชื่อกลายเป็นคนไร้ความเชื่อไร้ศาสนากันไปก็อย่าเพิ่งตีโพยตีพายกันไปขนาดนั้น  เดี๋ยวเรามาต่อกันนะคะว่าอะไรยังไงที่ควรเชื่อและไม่ควรเชื่อธรรมะแนวทางของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า  ที่ท่านสอนเกี่ยวกับหลักการที่จะตัดสินใจเชื่อต่อสิ่งใดนั้นเป็นหลักธรรมอมตะทันสมัยเสมอ พิสูจน์ได้และใช้ได้จริงทุกยุคทุกสมัย  ไม่อย่างนั้นไม่อยู่มายาวนาน2พันกว่าปีหรอกค่ะ ถ้ายังไม่เชื่อก็ไม่เป็นไรค่ะ แต่ลองพิสูจน์ดูก่อนก็ไม่เสียหาย พราะคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านสอนเสมอว่า ให้เรามาพิสูจน์ศึกษา และปฏิบัติด้วยตัวของเราเองก่อน อย่าเพิ่งรีบเชื่อ แล้วก็จะรู้ด้วยตัวของเราเอง

       จากเหตุการณ์นี้ก็ทำให้หวนนึกถึงผู้หญิงคนนึงค่ะ เธอมีหัวใจน่ากราบ แม้ขาทั้ง 2 ข้างจะไม่มี
เนื่องจากอุบัติเหตุ แต่เธอไม่ขาดศึลธรรม และความมุ่งมั่นที่จะสั่งสมบุญกุศลเลยค่ะ  ทำให้ระลึก
ถึงภาพงานบุญเมื่อเดือนมกราคมปี2559ที่ผ่านมาในวันวาน
      แสงแดดที่แผดจ้า และฝุ่นที่ปลิวฟุ้งตลบในเส้นทางที่ข้าพเจ้า และเพื่อนๆกำลังเดินไปจุดโคมที่ลานธรรมของพื้นที่คลองบางนางแท่น จ.นครปฐม  ทำให้ข้าพเจ้าแอบเผลอบ่นในใจแบบยาวเป็นชุด  ทำไมต้องบ่นในใจน่ะเหรอ ก็เพราะข้าพเจ้ารู้สึกละอายใจน่ะเอง  ก็ป้าย่ายายที่เดินจากลานจอดรถมาร่วมงานบุญครั้งนี้ไม่มีใครเขาบ่นกันเลยน่ะสิ  ทำให้เห็นหัวใจนักบุญของหมู่คณะวัดพระธรรมกายว่า  แม้อายุมากก็ไม่เป็นอุปสรรค
           ก็ในระหว่างที่กำลังเดินไปบ่นไปนั้นเอง  ก็มีเสียงขอทางให้รถเข็นคนพิการคันนึงเข็นผ่านแซงข้าพเจ้าอย่างAlert  แล้วล้อรถเข็นก็ไปติดบนสายไฟของฝ่ายเครื่องเสียงที่พาดผ่านเส้นทางอยู่ ก็มีสาธุชนที่ใจใส น้ำใจง๊ามงามช่วยกันดึงให้ล้อรถเข็นสามารถก้าวผ่านไปให้ได้
         ข้าพเจ้ามองไปที่รถเข็นก็จำได้ว่า  นั่นคือ "พี่คำน้อย  แสงใจ" ที่ประสบอุบัติเหตุรถบัสพลิกคว่ำทำให้ต้องเสียขาทั้ง2ข้าง จากวิกฤติชีวิตที่ถาโถมเข้าสู่ชีวิตในช่วงนั้นข้าพเจ้าทราบมาว่าพี่เขาได้เปลี่ยน
ให้เป็นโอกาสด้วยการน้อมนำธรรมะของพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามาสู่ใจด้วยการปฏิบัติธรรมจนสามารถเข้าถึงที่พึ่งภายใน คือ พระรัตนตรัยในตัวเห็นองค์พระชัดใสสว่างได้
        หน้าตาของพี่คำน้อยดูสดชื่นเบิกบานแม้มีร่างกายเหลือเพียงแค่ครึ่งตัว แต่หัวใจกลับเต็มเปี่ยมไปด้วยกำลังใจอย่างเปี่ยมล้น  เมื่อเห็นภาพนี้ข้าพเจ้าแอบตั้งคำถามกับตัวเองไม่ได้ว่า  "ถ้าเราต้องประสบ
ชะตากรรมอย่างพี่เขา  เราจะยังมุมานะที่จะมาร่วมงานบุญครั้งนี้หรือไม่?? แล้วข้าพเจ้าก็ได้คำตอบในใจ
ในบัดดลว่า  คงจะ"ไม่" ข้าพเจ้าคงไม่บังเกิดวิริยะบารมีขนาดที่จะเดินทางนั่งรถบัสมาจากจ.เชียงราย เพื่อมาร่วมงานบุญในครั้งนี้อย่างแน่นอน คงจะเปิดจอDMC  แล้วนั่งร่วมกิจกรรมผ่านจออยู่กับบ้านนั่นแหละ
       ขอบคุณความเข้มแข็งของพี่คำน้อยที่เป็นกัลยาณมิตรที่ดีเยี่ยมให้กับข้าพเจ้า  คงจะเลิกบ่นโน่น นี่ นั่นไปอีกนานเลยทีเดียว  กำลังใจ และความเข้มแข็งของใจที่ไร้อุปสรรคของพี่คำน้อย ที่ข้าพเจ้าเห็นในวันนี้เป็นส่วนสำคัญที่ส่งมอบแฮงใจ๋สู่ใจของข้าพเจ้าโดยไม่ต้องพูดอะไรกันเลยซักคำ  ภาพที่เห็นเป็นกัลยาณมิตรให้กับข้าพเจ้า ซึ่งมีคุณค่าเกินคำพูดนับล้านๆคำสมดังพุทธพจน์ที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ตรัสไว้ว่า  "กัลยาณมิตรเป็นทั้งหมดของพรหมจรรย์"



       
        ตรงข้ามกับสื่อในประเทศไทยบางฉบับ คนบางคนแม้มีแขน ขา หู ตา จมูก ครบถ้วนบริบูรณ์ทุกอย่างเดินเหินได้คล่องแคล่ว แต่หัวใจกลับแห้งแล้งกันดาร ไม่สามารถฟูมฟักศีลธรรมให้เกิดขึ้นในจิตใจของตนได้  กล้าพูดจาใส่ร้ายต่อพระมหาเถระ  ที่ตลอดทั้งชีวิตการบวชของท่านได้สร้างคุณงามความดีที่เป็นประโยชน์ต่องานพระพุทธศาสนา มีผลงานมากมาย ก็กลับทำหูหนวกตาบอดมองไม่เห็น จับจ้องพยายามหาแต่ข้อเสีย พยายามสร้างกระแสด้านลบต่อพระ และพระพุทธศาสนาอย่างต่อเนื่องไม่มีเว้นวรรค  เรียกได้ว่าสภาพจิตใจนั้นบกพร่องอย่างแรง ก็ได้แต่ปลงอนิจจังวตสังขารากันหละเจอแบบนี้  
     
        แต่สื่อน้ำดีที่ซื่อสัตย์ต่อสังคมไทยก็ยังมีอีกมาก ก็ขอขอบพระคุณค่ะที่ท่านช่วยปกป้องพระพุทธศาสนาจากภัยของคนพาล เราชาวพุทธทุกคนก็ไม่คิดจะไปตอบโต้รุนแรงค่ะ แค่เพียง
"ไม่สู้ ไม่หนี ทำดีเรื่อยไป"










   

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น