วันเสาร์ที่ 20 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2559

สมเด็จอาจ...อุทาหรณ์ของวงการพระพุทธศาสนา


โศกนาฎกรรมที่สั่นคลอน
จิตวิญญาณของชาวพุทธฯ

       เมื่อพระดีถูกรังแกข่มเหงจากกลุ่มผู้แสวงหาอำนาจ
จึงนำไปสู่การตัดสินที่ผิดพลาดครั้งยิ่งใหญ่

       -ใน พ.ศ. 2503 เมื่อครั้งสมเด็จพระพุฒาจารย์ (อาจ อาสโภ) ดำรงสมณศักดิ์เป็นพระพิมลธรรมนั้น (ผู้ปฏิบัติหน้าที่แทนสมเด็จพระสังราชและเจ้าอาวาสวัดมหาธาตุฯ)ท่านได้ถูกกล่าวหาว่าอาบัติปาราชิกข้อหาเสพเมถุนกับลูกศิษย์  สมเด็จพระสังฆราช (ปลด กิตฺติโสภโณ) จึงมีพระบัญชาให้พ้นจากตำแหน่งเจ้าอาวาส แต่ท่านปฏิเสธ โดยตั้งใจจะต่อสู้เพื่อพิสูจน์ความบริสุทธิ์ของตน คณะสังฆมนตรีของสมเด็จพระมหาวีรวงศ์ (จวน อุฏฺฐายี) จึงมีมติว่าท่านฝ่าฝืนพระบัญชา ไม่ควรอยู่ในสมณศักดิ์ต่อไป พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวจึงโปรดให้ถอดออกจากสมณศักดิ์ตั้งแต่วันที่ 11 พฤศจิกายน พ.ศ. 2503 ภายหลังเรื่องถึงชั้นศาลและสามารถพิสูจน์ได้ว่า ข้อกล่าวหาทั้งหมดไม่มีมูลความจริง 

      -ต่อมาใน พ.ศ. 2505 ท่านได้ถูกทางการกล่าวหาว่าเป็นคอมมิวนิสต์ จึงถูกบังคับสึกเป็นฆราวาสแม้ท่านจะร้องขอความเป็นธรรมและขอโอกาสต่อสู้คดีก็ไม่เป็นผล และถูกจำคุกอยู่ที่กองบังคับการตำรวจสันติบาลอยู่ 5 ปี  (ตลอดระยะเวลาที่อยู่ในคุกแม้จะถูกถอดจีวรแล้วสวมชุดฆราวาส ท่านก็ยังคงดำเนินวัติปฏิบัตแบบพระโดยสมณสัญญาตามปกติ )จนกระทั่งศาลทหารสามารถพิสูจน์ว่าข้อกล่าวหาดังกล่าวเป็นความเท็จ และตัดสินยกฟ้องเมื่อ พ.ศ. 2509 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวจึงโปรดให้ท่าน กลับสู่สมณศักดิ์เดิมตั้งแต่วันที่ 31 พฤษภาคม พ.ศ. 2518 คดีดังกล่าวนี้นับเป็นเหตุการณ์สำคัญครั้งหนึ่งในประวัติศาสตร์พุทธศาสนาของไทย ซึ่งสร้างความสะเทือนใจให้แก่ศิษยานุศิษย์และพุทธศาสนิกชนในประเทศไทยเป็นอย่างยิ่ง เราคงไม่อยากให้เหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้นอีกในประเทศไทย ซึ่งได้ขึ้นชื่อว่าเป็นเมืองพุทธ
http://www.mcukk.com/buddhasilpa/read.php?select=16
http://www.komchadluek.net/detail/20091211/40887/%E0




     หลังจากเหตุการณ์นี้ผ่านพ้นไป  ท่านเพียงแต่กล่าวสั้นๆว่า
" ถึงแม้ว่าจะมีผู้มีใจโหดร้ายทารุณแย่งชิงผ้ากาสาวพัตร์ของกระผมไป กระผมก็จะนุ่งห่มผ้ากาสาวพัตร์ชุดอื่นแทน ซึ่งกระผมมีสิทธิ์ตามพระธรรมวินัย และกฎหมาย  จึงขอให้ท่านเจ้าคุณผู้รู้เห็นอยู่ ณ ที่นี้ ได้โปรดทราบและเป็นสักขีพยานให้แก่กระผมตามคำปฏิญาณนี้ด้วย"

      คดีดังกล่าวนี้นับเป็นเหตุการณ์สำคัญครั้งหนึ่งในประวัติศาสตร์พุทธศาสนาของไทย ซึ่งสร้างความสะเทือนใจให้แก่ศิษยานุศิษย์และพุทธศาสนิกชนในประเทศไทยเป็นอย่างยิ่ง ราคงไม่อยากให้เหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้นอีกในประเทศไทย ซึ่งได้ขึ้นชื่อว่าเป็นเมืองพุทธ



      อุทาหรณ์สอนใจเกับเรื่องราวในครั้งอดีตกาลได้กล่าวถึงผู้ทำกรรมหยาบช้าที่ประทุษร้ายต่อผู้ทรงศีลให้เป็นแง่คิดสะกิดใจแก่ทุกท่านว่า กรรมชั่วที่เรากระทำแม้ว่าเราจะรู้หรือไม่รู้ก็ตาม ก็ย่อมจะได้รับผลของกรรมที่ตนเองได้กระทำไว้ เหมือดั่งเด็กน้อยไร้เดียงสาที่ไม่รู้ว่าไฟมีความร้อน เมื่อเอามือไปจับย่อมเผาไหม้ตนเองแบบไม่มีข้อยกเว้น ว่าจะรู้หรือไม่ก็ตาม


เรื่อง ผู้ถ่มน้ำลายรดพระดาบส 
       กาลครั้งหนึ่ง กีสวัจฉดาบส ลูกศิษย์ของสรภังคดาบส เข้าไปอาศัยอยู่ในพระราชอุทยานกุมภวดี
นครของพระเจ้าทัณฑกีราช เพื่อบำเพ็ญฌานสมาบัติ พอดีกับเหตุการณ์วุ่นวายในเมือง
        นางสนมท่านหนึ่งถูกพระราชาปลดออกจากตำแหน่ง พอดีนางพบดาบสเข้า คิดว่าเป็นกาลกินี
ถ่มน้ำลายลงบนศีรษะของดาบสนั้นแล้ว  ออกไป. ในวันนั้น(เพราะบุญเก่า)นางได้รับตำแหน่งคืน จึงสำคัญว่าตนได้ตำแหน่งคืนเพราะด้วยการถ่มน้ำลายใส่ท่านดาบส

       ต่อมาปุโรหิตถูกพระราชาริบฐานันดร ปุโรหิตจึงได้รับคำแนะนำจากนางสนมให้ทำเช่นนางบ้าง
 ก็เผอิญปุโรหิตนั้นก็ได้ฐานันดรคืน(บุญเก่า) อีก2-3วัน แถวชายแดนของเมืองเกิดจราจล พระราชามีพระราชประสงค์จะปราบชาวเมืองที่ก่อจราจลปุโรหิตก็แนะนำให้ทำเช่นตน พระราชาจึงบังคับให้ประชาชนทั้งหมด ให้ไปถ่มน้ำลายใส่พระดาบส พอพระราชาเสด็จถึงชายแดนเท่านั้นก็รบชนะ
       ฝ่ายเสนาบดี หลังจากคนถ่มน้ำลายใส่พระดาบส จึงไปช่วยล้างให้ท่าน แล้วถามว่า"ท่านขอรับ  กรรมที่ไม่สมควร  อันชนเหล่านั้นทำแล้ว ผลอะไรจักมีแก่ชนเหล่านั้น."
       ดาบสกล่าวว่า  "ความประทุษร้ายแห่งใจของอาตมา    ไม่มีแต่เทวดา  โกรธนักหนา,  ในวันที่ ๗  แต่วันนี้ไป  เทวดาทั้งหลายจักทำแว่นแคว้นทั้งสิ้น  ให้พินาศ;  เพราะฉะนั้น  ท่านจงไปภายนอกแว่นแคว้นเสียภายใน  ๗  วันเถิด." ในวันนั้นเองเทวดาบันดาลให้ฝนตก ชาวเมืองดีใจว่าเพราะเราทำร้ายดาบส พระราชาเรารบชนะมีแต่เจริญอย่างเดียว

       วันต่อมา เทวดาบันดาลให้ฝนดอกมะลิตก ฝนมาสก ฝนกหาปนะ ฝนเครื่องประดับ ตกตามลำดับ ประชาชนยิ่งดีใจกันใหญ่วันสุดท้าย เทวดาบันดาลให้ ฝนอาวุธ ฝนถ่านเพลิง ฝนทรายถล่มเมืองพังพินาศ เสนาบดีออกนอกเมืองได้สำเร็จ และปลอดภัย คนเลี้ยงพ่อแม่ เทวดานำออกนอกเมือง ปลอดภัยเหมือนกัน ส่วนคนนอกนั้นถึงความพินาศ ด้วยประการฉะนี้แล

จากหนังสือ ชาวพุทธต้องรู้  
มังคลัตถทีปนีแปล เล่ม ๒ - หน้าที่ 245-247
http://www.thammasatu.net/balee/mkthai.php?Page=244&p


เปรตขนเป็นหอกเป็นดาบ
                              เป็นเปรตที่มีลิ้นยาว ปลายลิ้นเป็นใบมีดคมกริบสับตัวเองไปทั่ว
                              ตามรูขุมขนมีมีดโผล่ขึ้นๆลงๆทิ่มแทงทะลุตามตัวตลอดเวลา
                              ทุกข์ทรมานแสนสาหัส เหตุที่เป็นเช่นนี้เพราะาตอนเป็นมนุษย์
                              ชอบใช้วาจาด่าว่าผู้มีศีลมีธรรม





2 ความคิดเห็น:

  1. สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรมที่ตนเป็นผู้กระทำ ทุกชีวิตอยู่ภายใต้กฏแห่งกรรม ตอนมีชีวิตอยู่ไม่เชื่อว่าบาปบุญคุณโทษมีจริงก็จะได้เห็นของจริงตอนตาย ซึ่งก็เป็นผังบาปที่ไม่มีใครช่วยได้ อย่าเปิดประตูมหานรกให้กับตัวเองเลย

    ตอบลบ
  2. สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรมที่ตนเป็นผู้กระทำ ทุกชีวิตอยู่ภายใต้กฏแห่งกรรม ตอนมีชีวิตอยู่ไม่เชื่อว่าบาปบุญคุณโทษมีจริงก็จะได้เห็นของจริงตอนตาย ซึ่งก็เป็นผังบาปที่ไม่มีใครช่วยได้ อย่าเปิดประตูมหานรกให้กับตัวเองเลย

    ตอบลบ